180
Products
reviewed
0
Products
in account

Recent reviews by SYD the Red

< 1  2  3 ... 18 >
Showing 1-10 of 180 entries
3 people found this review helpful
12.6 hrs on record (10.0 hrs at review time)
เป็นธรรมชาติของข่าวลือที่จะส่งผลกระทบในทางลบไม่ทางใดก็ทางหนึ่งและในเวลาเดียวกันก็จะมีคนที่ได้ประโยชน์จากข่าวลือในทางลบเหล่านั้น

‘The Fabulous Fear Machine’ ก็คือเกมแนวประหลาดที่จะชักพาคุณไปสู่โลกของเรื่องเล่าข่าวลือ โดยคุณจะได้รับบทเป็นผู้ทำสัญญากับเครื่องจักรประหลาดที่เรียกว่า ‘The Fabulous Fear Machine’ (เครื่องจักรความกลัวแสนประเสริฐ) เพื่อที่จะกอบโกยประโยชน์เข้าตัวด้วยการสร้างความกลัวจากข่าวลือ

ตัวเกมเป็น Strategy ที่มีระบบการเล่นไม่ยุ่งยากซับซ้อนมากนัก ถ้าคุณยอมสละเวลาอ่านคำอธิบายเกี่ยวกับฟีเจอร์ต่าง ๆ สักหน่อยก็สามารถที่จะสนุกกับเกมได้ไม่ยาก โดยสิ่งที่คุณจะต้องทำภายในเกมก็คือการวางการ์ดข่าวลือลงบนแผนที่และใช้เอเยนต์ของคุณในการขุดหาทรัพยากร สำรวจหรือทำลายคู่แข่ง (ทั้งด้วยเรื่องจริงและเรื่องเท็จ) และทาสีของแผนที่ให้ทั่วด้วยความกลัว ระบบของเกมจัดได้ว่าสนุกแบบเรียบง่ายและเพลินอยู่มากพอสมควร

จุดเด่นที่สุดของ Fear Machine ก็คงจะเป็นการเล่าเรื่องราวออกมาในรูปของ Pulp Fiction งานภาพในเกมจะชวนให้รู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปสู่ยุค VHS ที่การ์ตูนผีเล่มละบาทสองบาทยังดัง ทว่าภายในเกมก็จะหยิบเอาตำนานเมืองและข่าวลือตามยุคสมัยต่าง ๆ มาใช้ในรูปของการ์ด (ถ้าคุณสามารถอัพเกรดข่าวลือจนเต็มถึงระดับสูงสุดก็จะสามารถเก็บการ์ดเข้าแฟ้มเพื่อสะสมได้) ถ้าคุณเคยเป็นเด็กที่โตมากับซีรีส์ Tales from the Crypt, Creep Show หรืออะไรทำนองนั้นก็คงจะรักเกมนี้เอามาก ๆ

ข้อด้อยที่ผมพบเกี่ยวกับเกมก็คงจะเป็นการที่ตัวเกมไม่ค่อยจะมีเหตุผลที่ชวนให้เล่นซ้ำมากนักนอกไปจากสะสมการ์ดให้ครบหรือย้อนไปเสพบรรยากาศ เพราะตัวเกมมีแคมเปญให้เล่นเพียง 3 บท (บทละประมาณ 2~4 ตอน) ดังนั้นคุณจึงสามารถที่จะเล่นเกมจบได้ภายในเวลาเพียงแค่ประมาณ 10 ชั่วโมงเศษ ๆ (แต่ถ้าจะเก็บการ์ดให้ครบก็น่าจะใช้เวลามากกว่านั้น)

แต่ในภาพรวมแล้ว The Fabulous Fear Machine ก็ยังจัดได้ว่าเป็นเกมที่คุ้มค่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันลด และสำหรับผู้เล่นสาย Pulp Fiction ที่ชอบตำนานเมือง ข่าวลือหรือเรื่องประหลาด เกมนี้ก็น่าจะถูกจริตของคุณอย่างแน่นอน
Posted 3 September.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
8 people found this review helpful
69.9 hrs on record (18.6 hrs at review time)
หลายครั้งหลายหนอยู่ไม่น้อยที่ Creative Assembly มักที่จะเลือกทิ้งเกมและไม่อัพเดทต่อหลังจากที่กระแสไม่ดี (Attila, Three Kingdoms, Troy และอีกหลาย ๆ เกมในซีรีย์) ผมจึงค่อนข้างที่จะประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเมื่อได้ยินว่า Total War: Pharaoh จะได้รับการอัพเดทครั้งใหญ่จนกลายเป็นอีกเกมหนึ่งที่เรียกว่า Total War: Pharaoh Dynasties อีกทั้งยังเป็นอัพเดทฟรี (ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติของค่ายมาก ๆ)

ในเมื่อ CA ยอมที่จะแก้ไข อีกทั้งยังยอมที่จะลดราคาของเกมให้อยู่ในระดับที่จับต้องได้ ผมที่เป็นแฟนเกมของซีรีย์สายประวัติศาสตร์จึงยอมใจอ่อนลองที่จ่ายเงินมาลองอีกสักครั้ง

เป็นอีกหนึ่งการตัดสินใจที่ไม่ผิดหวัง เพราะ Dynasties เป็นเหมือนกับมัมมี่ที่ถูกฝังซึ่งจู่ ๆ ก็ลุกกลับขึ้นมานั่งบนบัลลังก์อีกครั้ง ผมไม่อาจที่จะเทียบได้กับ Pharaoh ตัวต้นฉบับเพราะไม่ได้เล่น แต่ Totwal War: Pharaoh Dynasties มันคือเกมยุค Bronze Age ที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ

ถึงเกมจะชื่อ Pharaoh แต่ตัวเกมก็มีอารยธรรมเด่น ๆ จากยุคสัมฤทธิ์ให้เลือกครบ ไม่ว่าจะเป็นพวกเมโสโปเตเมีย, กรีก, ฮิตไทต์และคานาอัน สิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือแต่ละภูมิภาคหรือวัฒนธรรมล้วนแต่มีลูกเล่นเฉพาะและจุดเด่นเป็นของตัวเอง อีกทั้งแต่ละ Factions ก็ยังมีตัวละครหลัก ระบบการเล่นและยูนิตที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยในเกม (ณ ขณะที่เขียนบทวิจารณ์นี้) มี Factions ทั้งหลักและรองนับรวมกันได้ 39 Factions พื้นที่ของเกมอาจจะมีแค่อนาโตเลีย, กรีก, อียิปต์, เปอร์เชีย แต่มันก็เป็น Total War สายประวัติศาสตร์ที่ใหญ่และมีความหลากหลายมาก

ระบบหลาย ๆ อย่างของเกมยังค่อนข้างที่จะคล้ายกับ Troy (ซึ่งก็ถูกพัฒนาโดย CA Sofia เหมือนกัน ผมไม่แนะนำตัวหลักแต่ Troy + Mythos คือหนึ่งใน Total War ที่ถูกจริตผมที่สุดและผมก็อยากแนะนำให้ทุกท่านได้ลองเช่นกัน) ทว่าหลาย ๆ จุดถูกอัพเกรดเพิ่มเติม อาทิเช่น Region หลักของ Province ก็สามารถที่จะผลิตทรัพยากรได้จึงช่วยลดปัญหาตึง ๆ เรื่องทรัพยากรในช่วงต้นเกมได้มาก อีกทั้งข้อดีมาก ๆ ของ Troy เช่นความเสถียรของเกมหรือความเร็วในการโหลดระหว่างฉากก็ยังอยู่ จะว่า Dynasties เป็น Troy ในฉบับสมบูรณ์ที่ตัด Mythos ออกไปก็คงจะใช่ (ซึ่งในเกมก็มีตัวละครหลักใน Troy อยู่พร้อมหน้ายกเว้นแค่ว่าไม่มี Amazon) แต่ก็แน่นอนว่าตัวเกมยังคงไม่มียุทธนาวีซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย

จุดที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับ Dynasties ก็คือตัวเกมมีฉากหลังตั้งอยู่ในช่วงที่เหล่าอารยธรรมในยุคสัมฤทธิ์กำลังจะล่มสลาย ธีมของเกมจึงค่อนข้างที่คล้ายกับ Attila อยู่มากพอสมควร แต่แทนที่จะต้องเผชิญหน้าภัยจากพวกฮัน ในเกมนี้กลุ่มผู้รุกรานก็จะกลายเป็น Sea Peoples แทน ซึ่งถ้าเราเล่นแบบปีละ 3 Turns (ตัวเกมเลือกปรับได้ว่าจะให้ปีหนึ่งยาวนานกี่เทิร์น) พวกเขาก็จะเริ่มปรากฏตัวขึ้นตามแนวชายฝั่งในช่วงประมาณเทิร์นที่ 25 และเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เหล่าผู้อารยะต้องเตรียมรับมือนอกไปจากงานบริหารและการเมืองภายใน

เป้าหมายในการเล่นก็ค่อนข้างที่จะแปลกไปในภาคนี้ เพราะแทนที่จะเน้นไปกับการไล่ทาสีแผนที่แบบเดิม ๆ ตัวเกมกลับใช้วิธีทำภารกิจเพื่อสะสม Victory Points แทน เมื่อคุณรวบรวมแต้มได้มากระดับหนึ่งคุณก็สามารถที่จะเคลมว่าเป็นผู้ชนะ โดยการได้มาของ VP นั้นก็มีหลากหลายไล่ตั้งแต่การทาแผนที่แบบปกติ สะสมทรัพยากร การทูต การเมือง ขับไล่ Sea Peoples และอีกหลากหลาย ตัวเกมจึงมีความเป็น Sandbox มากขึ้นและเปิดโอกาสให้เราเล่นแบบ Tall ได้แทนที่จะเน้นตีเมืองเพื่อขยายดินแดนแบบเดิม ๆ ส่วนตัวผมเองชอบความเปลี่ยนแปลงในจุดนี้มาก แต่ถ้าคุณเป็นผู้เล่นสาย Wide เท่านั้นและชอบการทาแผนที่มากกว่า คุณก็อาจจะไม่ชอบใจนักเพราะมีหลายสิ่งที่ต้องใส่ใจมากขึ้น

นอกจากนี้คุณยังสามารถที่จะปรับแต่งรายละเอียดของ Campaign ที่คุณเล่นได้อย่างละเอียดมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเทิร์นต่อปี โบนัสของ AI ทรัพยากรเริ่มต้น ความแข็งแกร่งของทหาร ฯลฯ ดังนั้นถ้าคุณคิดว่าเกมง่ายหรือยากไปหรือมีระบบบางจุดที่คุณไม่ชอบ คุณก็สามารถที่จะเพิ่มหรือตัดออกได้เท่าที่คุณพอใจ

และสิ่งน่าสนใจที่สุดที่มาพร้อมกับ Dynasties Update ก็คือระบบสาแหรกตระกูลแบบเดียวกันกับที่มีในสายประวัติศาสตร์ภาคเก่า ๆ ดังนั้นพวกตัวละครหลักของแต่ละ Factions จึงไม่ได้มีชีวิตเป็นอมตะอีกแล้ว พวกเขาสามารถที่จะตายได้ตอนอยู่ในสนามรบหรือสิ้นอายุขัย (ตัวเกมมีเพิ่มระบบ Lethality ที่ตีติดคริก็สามารถที่จะสังหารศัตรูได้ทันที แม้แต่อคิลิสก็เน่าได้ด้วยคันศรดอกเดียวถ้าโชคร้าย คุณจึงต้องคิดเยอะขึ้นในทุกครั้งเกี่ยวกับการพาแม่ทัพวิ่งเข้าไปตบตีในแถวหน้า) ระบบสาแหรกตระกูลที่เพิ่มเข้ามาช่วยให้เกมการเมืองน่าสนใจขึ้นมาก เพราะคุณสามารถที่จะรับอุปการะตัวละครจากต่าง Factions เพื่อเพิ่มความสัมพันธ์และหวังยึดครองทีหลังหรือขอรับอุปการะไปเป็นบุตรของฟาโรห์เพื่อแอบครองอียิปต์อย่างเนียน ๆ ก็ได้ด้วย ถ้าคุณเป็นผู้เล่นสาย Roleplay ระบบนี้ก็คงจะช่วยเพิ่มอรรถรสได้มาก

Total War: Pharaoh Dynasties คือเกม Total War ที่สายประวัติศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ชอบในยุคสัมฤทธิ์รอคอย น่าเสียดายที่ตัวเกมไม่ได้ไปต่อ (อีกแล้ว) และ Dynasties ก็คืออัพเดทสุดท้ายถ้าไม่รวมแก้บัคยิบย่อย แต่มันก็เป็นอีกหนึ่ง Total War สายประวัติศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับราคาที่อยู่ในระดับจับต้องได้
Posted 27 July.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
2 people found this review helpful
73.2 hrs on record (72.5 hrs at review time)
ถ้าคุณถามผมว่า Total War ภาคใดที่ผมรักและชังมากที่สุด ผมก็ต้องตอบว่าเกมนั้นคือ Total War: ATTILA

เหตุผลที่ผมชังมันก็เพราะมันเป็นภาคที่มีปัญหาเยอะแยะจุกจิกเยอะที่สุด โดยตอนที่เกมวางจำหน่าย แทบจะไม่มี PC เครื่องใดที่รันมันได้นิ่ง ๆ แบบกราฟฟิคปรับสุด ซึ่งทีมพัฒนาก็ได้ให้เหตุผลว่า "เกมถูกออกแบบเพื่ออนาคต" แต่มาจนถึงวันนี้เมื่อเกมวางจำหน่ายมาเกือบ 10 ปี ก็ยังมี PC น้อยเครื่องที่สามารถจะรันเกมนี้ได้อย่างไร้ปัญหา และก็เป็นเพราะเหตุนี้ ATTILA ถึงถูกมองในแง่ลบมาโดยตลอดจากแฟน ๆ ของซีรีย์

ในทางกลับกัน ผมกลับรักแทบจะทุกอย่างที่มีอยู่ในภาคนี้ เพราะมันไม่ใช่ Total War แบบที่คุณสร้างกองทัพขึ้นมาเพื่อไล่ทาสีแผนที่เหมือนกับทุกภาค ทว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนกับเกมแนว Survival ที่คุณจำเป็นจะต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากปัญหาต่าง ๆ ที่รุมล้อม ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ภัยรุกรานจากพวกชนบนหลังม้าและพวกผู้อพยพ การขาดอาหาร หรือแม้แต่โรคระบาด คงจะไม่มีเกมภาคใดในซีรีย์อีกแล้ว (อย่างน้อยก็ในตอนนี้) ที่ทำให้คุณรู้สึกสิ้นหวังและรู้สึกเหมือนกับกำลังจะได้เผชิญกับวันสิ้นโลกที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้

"วันสิ้นโลก" ก็คือธีมที่ ATTILA ได้นำเสนอ เพราะตัวเกมมีฉากหลังตั้งอยู่ในช่วงยุคเปลี่ยนผ่านจากจักรวรรดิโรมันมาสู่ยุคเรืองอำนาจของพวกแฟรงค์ (ตัวเกมมีภาคเสริม "ชาร์เลอมาญ" ด้วย ผมขอการันตีว่ามันคือหนึ่งใน DLC ที่ดีที่สุดตลอดกาลของ Total War หรืออย่างน้อยก็ในความเห็นของผม) มันจึงเป็นหนึ่งใน Total War ที่มีความยากมากที่สุดเกมหนึ่งและมีระบบที่ค่อนข้างลึกกว่าเกมอื่น ๆ ซึ่ง "โรมันตะวันตก" ที่กำลังจะล่มสลายก็คือหนึ่งในแคมเปญที่ยากที่สุดของซีรีย์นี้ในสายประวัติศาสตร์ที่ผมอยากจะให้แฟน ๆ ผมชอบความสิ้นหวังได้ลอง

และสิ่งที่น่าสนใจอีกประการเกี่ยวกับ ATTILA ก็คือมันเป็นอีกหนึ่งเกมในซีรีย์ที่มี MOD น่าสนใจเยอะมาก ๆ และถ้าคุณกำลังเฝ้ารอ Medieval 3 ผมก็อยากที่จะแนะนำให้ลอง 1212 AD ซึ่งแทบจะเป็นเหมือนกับ Medieval 2 ที่ใช้เอนจิ้น ATTILA

ATTILA อาจจะไม่ได้รับการสนับสนุนที่ดีอย่างที่ควรจะเป็นจากทีมพัฒนา (ซึ่งก็น่าเสียดาย เพราะถ้าทีมพัฒนาสามารถที่จะแก้ปัญหาเรื่องความเสถียรของเกมได้ มันจะกลายเป็นหนึ่งในเกมขึ้นหิ้งของซีรีย์อย่างไร้ข้อโต้แย้ง) แต่ถ้าคุณชอบประวัติศาสตร์ยุโรปในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังและรักความยากในระดับท้าทาย เกมนี้ก็คือตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมของคุณโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันลดราคา (หรือแค่ซื้อเกมมาเพื่อเล่นภาคเสริม Charlemagne หรือ 1212 AD ก็คุ้มมาก ๆ แล้ว)
Posted 17 July.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
5 people found this review helpful
70.1 hrs on record
ผมอาจจะไม่ใช่แฟนดิจิมอน แต่ก็ยังรู้จักกับ Digimon Story Cyber Sleuth มาตั้งแต่ก่อนที่จะมีโอกาสได้เล่น เพราะมันเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งใน JRPG ที่ดีมาก ๆ เกมหนึ่ง ซึ่งหลังจากที่ผมได้มีโอกาสได้เล่น ผมก็เห็นด้วยเลย 100% มันเป็น JRPG ที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ และเป็นเกมที่ดีที่ช่วยแนะนำจักรวาลดิจิมอนให้กับคุณได้รู้จัก

สำหรับ Cyber Sleuth: Complete Edition ตัวนี้จะเป็นเกม 2 in 1 ที่มี Cyber Sleuth ตัวต้นฉบับและ Hacker's Memory ซึ่งเป็น Side Story ซึ่งเนื้อหาของเกมทั้งสองภาคจะดำเนินไปคู่กัน ดังนั้นเพื่อที่จะเข้าถึงเนื้อหาทั้งหมด ผู้เล่นจึงควรที่จะเริ่มจาก Cyber Sleuth (แต่จะเริ่มจาก Hacker's Memory ก็ไม่ผิด เพียงแต่คุณจะสนุกและเข้าถึงเนื้อหามากกว่าถ้าเริ่มจาก CS) ก่อนที่จะเริ่ม HM โดยคุณสามารถที่จะถ่ายโอนข้อมูลของดิจิมอนที่พบระหว่างเกมได้ด้วยหลังจากเล่นจบ (และถ้าคุณเล่นจบทั้งสองเกมแล้ว คุณสามารถที่จะถ่ายโอนดิจิมอนระหว่างกันได้เลย ไม่ใช่แค่ฐานข้อมูล)

ใน Cyber Sleuth เราก็จะได้รับบทเป็นนักสืบดิจิตอลที่จะต้องใช้ดิจิมอนในการค้นหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องประหลาดที่จู่ ๆ ก็เกิดขึ้นในโตเกียว (และมักที่จะมีดิจิมอนเข้ามาเกี่ยว) ซึ่งเนื้อหาของ CS จะมีสเกลที่ใหญ่กว่าคล้ายกับผู้กล้ากู้โลก ทว่าใน Hacker's Memory ที่เป็นเนื้อหาคู่ขนาน ตัวเอกจะเป็นแฮกเกอร์เมื่อใหม่ที่ต้องไล่ล่า ID ที่ถูกแฮกของตัวเองกลับคืนมา ซึ่งเป็นสเกลที่เล็กกว่าแต่เนื้อหาทั้งสองก็เกี่ยวพันกันแบบอ้อม ๆ และน่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากัน อย่างไรก็ตามเนื้อหาก็ไม่ใช่จุดแข็งที่สำคัญของเกม ทว่าเป็นเกมเกมเพลย์เสียมากกว่า

จุดเด่นที่สุดของ Digimon Story ก็คือการที่เราสามารถที่จะปลุกปั้นทีมดิจิมอนของเราเองได้จากที่มีอยู่ในเกม 300 กว่าชนิด โดยดิจิมอนของเราก็สามารถที่จะ Digivolution (วิวัฒนาการ) และ De-digivole (ลดขั้นวิวัฒนาการ) ตัวเองได้ นี่ก็คือจุดเด่นสำคัญของดิจิมอนซีรีย์เพราะการได้เห็นดิจิมอนของเราวิวัฒนาการไปเป็นร่างใหม่ ๆ และมีความสามารถใหม่ ๆ เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นเอามาก ๆ และการเก็บเลเวลเกมนี้ก็ไม่สู้จะลำบากโดยเฉพาะในช่วงปลายเกมถ้าคุณรู้ว่าจะใช้งานดิจิมอนบางตัว (ที่ช่วยเพิ่ม EXP) และของสวมใส่ (Tactical EXP) อย่างไร ถ้าคุณเป็นผู้เล่นสายทดลองคุณก็จะสนุกมาก ๆ กับการสร้างและพัฒนาดิจิมอน แต่ถ้าคุณเป็นสายเนื้อหาที่ไม่ถูกจริตกับการ Grinding นัก ผมก็ไม่คิดว่าเกมนี้จะเหมาะกับคุณ

ข้อด้อยที่เห็นได้ชัดที่สุดเกี่ยวกับ Cyber Sleuth ก็คงจะเป็นเรื่องกราฟฟิกที่ค่อนข้างจะตกยุคถ้าขุดมาเล่นในปีนี้ และความหลากหลายของสภาพแวดล้อมก็มีไม่มากสักเท่าไหร่ เพราะตัวเกมมักที่จะใช้ฉากเดิมซ้ำ ๆ เวียนไป อีกทั้งฉากก็ยังเป็น 2.5D แบบหมุนมุมกล้องไม่ได้ด้วย อีกทั้งถ้าคุณใช้คีย์บอร์ดเล่น การปรับแต่งปุ่มก็น่าจะทำให้คุณรู้สึกสับสนได้ไม่น้อย ผมจึงอยากที่จะแนะนำให้คุณใช้ Controller ถ้าต้องการจะเล่นเกมนี้

อย่างไรก็ดี Digimon Story Cyber Sleuth: Complete Edition ก็เป็น JRPG ที่ยอดเยี่ยมาก ๆ และคงจะดียิ่งขึ้นไปอีกถ้าคุณสนใจหรือเป็นแฟนดิจิมอน มันคือเกม 2 in 1 ที่คุ้มค่ามาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณซื้อมันในช่วงเทศกาลลดราคา (ซึ่งเกมค่ายนี้ก็ลดค่อนข้างจะบ่อย)
Posted 10 July.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
15 people found this review helpful
127.0 hrs on record (54.8 hrs at review time)
บนหน้าร้านของ Steam อาจจะมีเกม Wuxia (และ Xianxia) ให้ได้เลือกเยอะ แต่ถ้าถามถึงเกม Wuxia ที่ดีที่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปก็คงจะมีอยู่แค่ไม่กี่เกม และ Wandering Sword ก็คือหนึ่งในเกมที่ผมอยากจะแนะนำ หรือต่อให้คุณจะไม่ใช่แฟน Wuxia ผมก็ยังอยากจะแนะนำให้คุณได้ลองอยู่ดี เพราะมันเป็นเกมแนว Turn-based คุณภาพเกมหนึ่ง

ภายในเกมนี้เราก็จะได้รับบทเป็นไอ้หนุ่มดวงซวยคนหนึ่งที่บังเอิญไปอยู่ผิดที่ผิดทางกลางดงจอมยุทธตีกัน เขาก็เลยโดนพิษแถมสูญเสียหมู่เพื่อนที่รัก เมื่อฟื้นกลับขึ้นมาเขาก็เลยพยายามที่จะฝึกเคล็ดวิชาเพื่อที่จะกลับไปล้างแค้น และก็ทำให้เขาหลงเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งที่ใหญ่กว่านั้น เนื้อหาในภาพรวมของเกมก็จะคล้าย ๆ กับนิยายแนวกำลังภายในโดยทั่ว ๆ ไปที่หลาย ๆ ท่านน่าจะเคยได้อ่านและคุ้นชิน ก็ไม่นับเป็นข้อเสีย เพราะถ้าคุณชอบนิยายกำลังภายในหรือจีนโบราณ ก็เป็นไปได้มากที่คุณจะถูกใจเกมนี้เพราะมันมีทุกสิ่งที่คุณต้องการ

สิ่งที่ส่วนตัวผมเองชอบมากประการหนึ่งเกี่ยวกับ Wandering Sword ก็คือตัวเอกสามารถที่จะออกท่องยุทธภพเพื่อที่จะรวบรวมเคล็ดวิชาเพื่อพัฒนาตัวเองได้อย่างไม่จำกัด (ชวนให้นึกถึงตัวละครอย่างเตียบ่อกี้จากดาบมังกรหยกเอามาก ๆ ด้วยเหตุผลหลากหลายประการ) ตัวเอกสามารถที่จะใช้อาวุธและวรยุทธได้ทุกสำนัก (ตราบใดที่คุณอดทนพอที่จะไล่ตีศัตรูเก็บแต้มเพื่อเอามาพัฒนาตัวเอง เกมนี้ไม่มี Level) ตัวเอกจึงสามารถที่จะพัฒนาตัวเองได้ไม่จำกัดและสามารถที่จะสร้าง Build ได้หลากหลาย การท่องทั่วหล้าเพื่อรวบรวมวรยุทธจากแต่ละสำนักจึงเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่สนุกมาก ๆ ของเกมนี้

ระบบต่อสู้ของเกมให้เลือกทั้งแบบที่เป็น Turn-based และ Realtime ซึ่งคุณสามารถที่จะเลือกปรับได้ตลอดระหว่างที่เล่น โดย Realtime นั้นก็เหมาะที่จะใช้ระหว่างเดินสำรวจและจัดการกับศัตรูหมู่มาก ส่วน Turn-based ก็เหมาะสำหรับการตบตีกับบอสทั้งหลาย ระบบต่อสู้ของเกมเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่ทำออกมาได้ดีมาก คุณสามารถที่จะตั้งวรยุทธเพื่อใช้ได้ถึง 4 ชุดสำหรับสถานการณ์ต่าง ๆ และวรยุทธแต่ละสำนักก็จะมีรูปแบบการโจมตีและลักษณะเฉพาะที่ต่างกัน คุณสามารถที่จะผสมวรยุทธแต่ละสำนักเพื่อที่จะสร้างชุดการโจมตีที่ถูกจริตของตัวเองได้ ถ้าคุณเป็นผู้เล่นที่ชอบทดลอง คุณก็อาจจะรู้สึกสนุกที่จะสร้างชุดคอมโบเพื่อสู้ในระบบ Turn-based

เนื้อหาอาจจะเป็นได้ทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของเกมขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังมองหาอะไรจากเกม ในเมื่อตัวเกมมีเนื้อหาชัดเจนและตัวเอกก็มีบุคลิกและเป้าหมายเป็นของตัวเองชัด ตัวเกมจึงไม่ได้ให้อิสระกับคุณมากนัก ถึงแม้คุณอาจจะสามารถเรียนรู้วิชายุทธจากทุกสำนักใต้หล้า แต่คุณก็ไม่อาจที่จะเข้าร่วมสำนักเหล่านั้นได้ (หลาย ๆ สำนักก็ยังมีเควสที่เราเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องได้ ก็เป็นในฐานะคนนอก) และเส้นทางที่เราจะต้องไปก็มักที่จะถูกกำหนดเอาไว้ให้เป็นลำดับขั้นตอน อาจจะมีเควสรองให้ได้พบบ้างแต่ก็ไม่ได้หลุดไปจากเส้นทางหลักมากนัก ดังนั้นถ้าคุณหวังว่าจะได้ออกท่องยุทธจักรทันทีที่จบบทนำ นี่ก็ไม่ใช่เกมที่คุณมองหา แต่ถ้าคุณต้องการเสพเนื้อหา Wuxia ดี ๆ Wandering Sword ก็เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณ (ตัวเกมมีฉากจบมากกว่าหนึ่ง แต่เนื้อหาหลักที่คุณจะได้พบในตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากกันมากนัก)

กราฟฟิกของเกมอาจจะเป็นพิกเซล แต่ฉากหลังที่ขับเคลื่อนด้วย Unreal Engine ก็งามสะดุดตามาก ๆ อีกทั้งฉากหลังของเกมที่เป็นประเทศจีนโบราณยังมีสภาวะแวดล้อมอันหลากหลาย การเดินทางในเกมจึงน่าจดจำสุด ๆ เพราะคุณจะได้พบเจอทั้งที่ลุ่มภาคกลาง ป่าไผ่ ทุ่งร้างแดนเหนือ ทะเลทราย หรือแม้กระทั่งป่าดงดิบ ถ้าคุณชอบกราฟฟิกแบบ Octopath Traveller ก็เป็นไปได้มากที่คุณจะรักกราฟฟิกของเกมนี้

ณ ขณะที่ผมกำลังเขียนความเห็น ตัวเกมยังคงมีแผนที่จะอัพเดทเนื้อหาและระบบเพิ่ม ดังนั้นหลาย ๆ อย่างที่คุณได้อ่านจึงอาจจะเปลี่ยนไป อย่างไรก็ตามถ้าคุณกำลังมองหาเกมแนว Wuxia ดี ๆ Wandering Sword ก็คือหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้น ๆ ที่คุณมี ต่อให้ตัวเกมจะเป็นราคาเต็มก็ยังจัดได้ว่าคุ้มมาก ๆ อยู่ดี
Posted 10 May.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
21 people found this review helpful
169.9 hrs on record (96.0 hrs at review time)
Hero's Adventure: Road to Passion คือหนึ่งในเกม RPG ธีม Wuxia ที่ดีที่สุดที่ผมได้มีโอกาสเล่นในรอบหลายปีให้หลัง และถ้าคุณชอบเกมแนว RPG ผมอยากที่จะให้คุณมองข้ามเรื่องกราฟฟิกและลองสัมผัสกับเกมนี้ดู และเพราะเกมนี้จะทำให้คุณประหลาดใจได้ในความยอดเยี่ยมของมัน

ภายในเกมเราก็จะได้รับบทเป็นจอมยุทธหนุ่มผู้ที่เพิ่งจะได้เริ่มออกท่องยุทธจักร แต่เป้าหมายหลักคืออะไร นั่นก็คือสิ่งที่ตัวคุณเองสามารถที่จะกำหนด คุณอาจจะใช้วิทยายุทธที่เรียนรู้มาเพื่อกู้ชาติ หรือเรียนรู้วิชามารเพื่อหาประโยชน์ใส่ตน ศึกษารวบรวมวรยุทธเพื่อเป็นหนึ่งในยุทธภพ หรือกำราบสำนักต่าง ๆ เพื่อรวมยุทธภพให้เป็นหนึ่งอีกครั้ง Hero's Adventure อาจจะเป็นเกมเล็ก ๆ แต่มีความหลากหลายด้านเนื้อหามากกว่าเกม RPG ตลาดทั่วไปมากจนเกือบที่จะเรียกได้ว่าเป็น Sandbox ดังนั้นถ้าคุณเป็นผู้เล่นสาย Roleplay ที่รักอิสระและความเป็นไปได้อันหลากหลาย นี่คือเกมที่ผมอยากจะแนะนำเพราะคุณสามารถที่จะเวียนกลับมาเล่นซ้ำได้มากเท่าที่คุณจะเบื่อ

จุดเด่นที่ผมชอบมาก ๆ เกี่ยวกับเกมก็คือระบบพัฒนาตัวละคร ที่ Stats ของตัวละครจะขึ้นอยู่กับวิทยายุทธที่คุณเลือกจำ คุณสามารถที่จะสร้าง Build ของตัวละครได้หลากหลายมาก ๆ ขึ้นอยู่กับวิทยายุทธที่คุณเลือกเรียนและอาวุธที่คุณเลือกใช้ อีกทั้งตัวละครแต่ละตัวก็ยังมี Traits อันหลากหลายที่สามารถจะส่งให้ Gameplay เปลี่ยนไป ถ้าคุณเป็นผู้ที่มีใจรักการทดลองเหมือนผม ก็เป็นไปได้มากที่คุณจะสนุกกับการสร้างตัวละครในเกมนี้

ถึงตัวเกมจะเป็น RPG แต่ Achievement ของเกมที่คุณปลดล็อกได้ก็จะช่วยให้คุณสามารถปลดล็อก Traits และโบนัสพิเศษเมื่อคุณเริ่มสร้างตัวละครใหม่ในเซฟต่อ ๆ ไป นี่คืออีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจเพราะเกม เพราะบาง Traits ของตัวละครสามารถที่จะเปลี่ยน Gameplay ไปได้อย่างมาก และนี่ก็คือจุดที่ทำให้การย้อนกลับมาเล่นซ้ำน่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ รอบ (ยกเว้นแต่ว่าคุณจะเกาะ Meta ไม่ยอมปล่อยและไม่ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มากนัก) ดังนั้นจะว่าตัวเกมแอบมีความเป็น Rogue-like หน่อย ๆ ก็คงจะได้

อย่างไรก็ตามข้อเสียสำคัญของเกมก็คือตัวเกมภาษาอังกฤษแปลมาไม่สู้จะดีนัก (อย่างน้อยก็ตอนที่ผมเขียนความเห็นนี้) ก็ยังพออ่านได้เข้าใจไม่ถึงกับเลวร้าย แต่ก็ชวนให้รู้สึกขัดใจอยู่บ้างและทำให้เข้าถึงเนื้อหาบางจุดอย่างเช่นปริศนาได้ยาก กระนั้นเราก็ยังสามารถที่จะสนุกกับการผจญภัยได้ไม่ยาก เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่ของเกมเป็นสไตน์ Wuxia ที่เราคุ้นชินไม่ได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรนัก แต่ถ้าคุณเป็นคนที่หงุดหงิดง่ายและต้องการที่จะอ่านภาษาวรรณกรรมเท่านั้น ผมก็ไม่สู้จะแนะนำ

อีกจุดที่อาจจะเป็นข้อเสียได้ก็คือระบบการเล่นของเกมอาจจะไม่ซับซ้อนแต่หลากหลายกว่าที่คิด คุณอาจจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาอยู่นานพอสมควรเพื่อที่จะเรียนรู้และเข้าใจระบบของเกม เพราะตัวเกมไม่ได้เททุกอย่างให้คุณในทีเดียว และก็มีหลาย ๆ จุดที่คุณจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้และทดลองด้วยตัวเอง มันเป็นอีกหนึ่งความสนุกของเกมแต่ผมก็ไม่คิดว่าผู้เล่นบางท่านที่คุ้นชินกับ RPG ที่ปักหมุดหรือบอกทุกอย่างให้โต้ง ๆ จะชอบใจนัก แต่ถ้าคุณเป็นผู้เล่นสายนักทดลอง นี่ก็ถือได้ว่าเป็นข้อดีมากกว่าข้อเสีย เพราะตลอดการเล่นคุณจะได้พบเจอและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา

โดยรวมแล้ว Hero's Adventure: Road to Passion เป็นเกมเล็ก ๆ ที่ถือได้ว่าคุ้มค่ากับเงินและเวลามาก ๆ ถ้าคุณชอบ RPG ก็ควรที่จะลอง และถ้าคุณชอบเกมแนว Wuxia ก็ยิ่งต้องลอง คุณจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน
Posted 3 May.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
3 people found this review helpful
0.0 hrs on record
เพื่อนของคุณในชุดว่ายน้ำแถมเพลง (ที่เริ่มเล่นตอนร่าย)
เพลงมีทั้งเวอร์ชั่นปกติและเวอร์ชั่นใหม่สำหรับเกม ถ้าชอบฟุบุกิก็กดเถอะ
Posted 19 April.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
11 people found this review helpful
92.7 hrs on record (48.9 hrs at review time)
ในจักรวาลกริมดาร์คอันกว้างใหญ่ มีหลายซอกมุมในเอกภพที่แสงแห่งศรัทธาในองค์จักรพรรดิไม่อาจที่จะสาดส่องไปถึง และก็เป็นหน้าที่ของเหล่า Rogue Trader กลุ่มชนผู้ที่ได้รับอำนาจตรงจากองค์จักรพรรดิเพื่อที่จะบุกฝ่าเข้าไปยังดินแดนเถื่อนเหล่านี้เพื่อที่จะก่อร่างสร้างอาณานิคมและขยายอิทธิพลของจักรวรรดิแห่งมวลมนุษย์ออกไป และในเกมนี้คุณก็จะได้รับบทเป็นหนึ่งใน Rogue Trader ผู้ยิ่งใหญ่เพื่อบุกสำรวจมุมหนึ่งของเอกภพที่เรียกว่า Koronus Expanse และปกป้อง (?) มันจากภัยทั้งหลายทั้งมวล...

...หรือไม่แล้วก็หาประโยชน์เข้ากระเป๋าของคุณเอง และกลายเป็นไอ้พวกนอกรีตที่นำพามาซึ่งความวิบัติสำหรับเพื่อนมนุษย์

40K Rogue Trader เป็นอีกหนึ่งเกมจากค่าย Owlcat ผู้พัฒนาที่มีชื่อขึ้นมาจาก Pathfinder ทั้งสองภาค โดยในครั้งนี้ฉากหลังของเกมก็คือจักรวาลกริมดาร์ค โดยตัวเกมยังคงเป็น CRPG และอ้างอิงกฎการเล่นจาก Pen&Paper ที่มีชื่อเดียวกัน ทว่าข้อแตกต่างระหว่างเกมนี้กับเกมก่อนหน้าไม่ได้มีเพียงแค่ฉากหลัง เพราะในครั้งนี้ Owlcat ตัดสินใจที่จะทำเกมเป็น Turn-based เต็มตัว ไม่ได้เป็นลูกครึ่งเหมือนกับเกมก่อน ๆ ของพวกเขาอีกแล้ว ซึ่งถ้าคุณถามความเห็นของผม ส่วนตัวผมที่เล่นมาหลายสิบชั่วโมงก็มองว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะมันช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถที่จะออกแบบการต่อสู้ในแต่ละจุดออกมาได้สะดวกและน่าสนใจมากยิ่งขึ้นโดยที่ไม่ต้องห่วงว่าจะส่งผลอย่างไรต่ออีกระบบ ดังนั้นถ้าคุณชอบ CRPG แบบ Turn-based นี่ก็คือหนึ่งในเกมแนวนี้ที่คุณจะพบได้บนท้องตลาด

และในเมื่อตัวเกมเป็น CRPG จุดเด่นสำคัญของเกมจึงเปิดโอกาสเต็มที่ให้คุณสามารถที่จะสร้างตัวละครของคุณขึ้นมา และพัฒนาตัวละครให้เป็นในสิ่งที่คุณอยากจะให้พวกเขาเป็น ต่อให้ตัวละครจะเป็นคลาสเดียวกัน แต่ปูมหลังและทักษะที่คุณเลือกให้พวกเขาตอนเลเวลอัพ ก็สามารถที่จะเปลี่ยนบทบาทของตัวละครที่มีคลาสเดียวกันให้ต่างออกไปได้อย่างสิ้นเชิง ระบบพัฒนาตัวละครในเกมสามารถที่จะทำได้หลากหลาย เข้าถึงง่ายและสนุกมาก (ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะในเกมนี้ตัวละครเลเวลอัพค่อนข้างจะถี่มาก) ดังนั้นถ้าคุณเป็นพวกที่ชอบสร้าง Build หรือสร้างทีม ระบบพัฒนาตัวละครในเกมนี้ก็คงจะถูกจริตคุณเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตามในเมื่อเกมเป็น CRPG ดังนั้นคุณจึงจำเป็นที่จะต้องอ่านและอ่าน คุณอาจจะได้ใช้เวลาในเกมนี้ส่วนใหญ่หมดไปกับการอ่านเนื้อหามากกว่าสู้ ดังนั้นถ้าภาษาของคุณไม่แข็งแรงหรือไม่รักการอ่านสักเท่าไหร่ ผมก็อยากที่จะให้คุณเลี่ยงขาดจากเกมนี้ แต่ถ้าคุณไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ ผมก็อยากที่จะแนะนำเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะผู้ที่หลงใหลใน Lore ของ 40K เพราะตัวเกมเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายที่ถูกเล่าผ่านมุมมองที่คุณอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อนตอนที่เล่น Wargame หรือเกมอื่น ๆ มันเป็นมุมมองที่ประหลาดแต่น่าสนใจเอาเรื่อง

สำหรับทางเลือกที่คุณจะได้พบในเกมนั้นก็มีความเป็นไปได้อยู่มากพอสมควรในแต่ละเควสที่คุณจะได้พบ แต่โดยปกติแล้วทางเลือกก็มักจะแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม คือสายศรัทธา (ในองค์จักรพรรดิ), สายอิสรชน และพวกนอกรีต ตัวเกมเปิดโอกาสให้คุณเลือกเป็นสิ่งที่คุณอยากจะเป็นได้อย่างสมบทบาท ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณเป็นสายศรัทธา คุณก็สามารถที่จะจับเผาทุกอย่างที่ขวางหน้าได้แม้แต่พวกนอกรีตบนเรือของคุณเอง ดังนั้นถ้าคุณชอบในเกมสวมบทและไม่ได้ใส่ใจเรื่อง Min-Max มากนัก คุณก็คงจะสนุกกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ได้พบในเกมเอามาก ๆ

นอกจากการออกผจญภัยไปทั่วแบบ CRPG แล้ว ตัวเกมก็ยังมีเรื่องราวอีกมากให้คุณได้ทำ เช่นควบยานไปยิงกับศัตรูในอวกาศ ออกสำรวจระบบดาวที่ไม่เคยมีใครไปถึง หรือสร้างอาณาจักรของคุณเอง ฯลฯ คุณจะมีอิสระมากขึ้นหลังจากที่ล่วงเข้าสู่ ACT2 ของเกม (โดยปกติแล้วก็น่าจะใช้เวลาประมาณ 10-20 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับว่าคุณอ่านได้ไวแค่ไหน ถ้ากดข้ามก็จะเร็วกว่านั้นมาก แต่ถ้าคุณจะทำอย่างนั้นในเกม CRPG ก็อย่าเล่นเลยดีกว่า) แต่ความเห็นที่คุณมีต่อระบบย่อยเหล่านี้อาจจะแตกต่างออกไปในแต่ละบุคคล ผมจึงไม่อยากที่จะออกความเห็นเกี่ยวกับมันสักเท่าไหร่นอกไปจากผมรู้สึกพอใจในภาพรวมของเกม

ถึงจะมีเรื่องให้ชมมากมาย ในช่วงวันแรก ๆ นี้ก็ยังมีเรื่องจุกจิกเยอะแยะให้ได้พบตามสไตน์เกมจากค่าย Owlcat โดยตัวเกมก็มีบัคที่น่าขัดใจค่อนข้างเยอะ อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพเพราะทีมยังคงใช้เอนจิ้น Unity ที่เราต่างก็รู้กันว่าไม่ใช่เอนจิ้นที่เสถียรเลยสักนิด (แถมยังสามารถที่จะเป็นภัยกับ PC สุดรักของคุณได้ด้วยถ้าเล่นไม่ระวัง) ดังนั้นต่อให้คุณจะมีเครื่องสุดแรง ก็เป็นไปได้ว่าคุณจะเจอเฟรมเรตร่วงในบางแห่ง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Owlcat จะเร่งแก้ไข ผมเห็นคนบ่นเรื่องบัคทำให้แคมเปญล่มได้ด้วย แต่ผมโชคดีพอที่ยังไม่เจออะไรแบบนั้น

โดยรวมแล้ว Warhammer 40K: Rogue Trader คือหนึ่งในเกมที่ชาว CRPG "ต้องลอง" หรือถ้าคุณเป็นชาว 40K ผู้รักใน Lore และไม่มีปัญหากับการอ่าน นี่ก็เป็นเกมที่คุณควรจะได้สัมผัสสักครั้งเช่นกัน และแน่นอนว่าเราไม่แนะนำอย่างยิ่งสำหรับท่านที่ไม่มีความอดทนกับการอ่านสักเท่าใดนัก

ปล. ความเห็นถูกให้ไว้ในวันที่ 12/12/2023 หลายสิ่งหลายอย่างน่าจะเปลี่ยนไปเยอะในหลายเดือนถัดจากนี้
Posted 12 December, 2023.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
18 people found this review helpful
40.8 hrs on record (8.9 hrs at review time)
HoloParade ก็คือเกมแรกของ holo Indie อันเป็นเซอร์เคิลใต้การดูแลของ Cover Corporation ที่เปิดโอกาสให้เหล่านักพัฒนาอินดี้สามารถที่จะหาเงินจากเกมแฟนเมดที่สร้างโดยอิงจากสาว ๆ Hololive ได้ และถ้าคุณถามความเห็นจากผม เกมนี้ก็จัดได้ว่าเป็นก้าวแรกที่ดีทีเดียว

มองผ่าน ๆ HoloParade นั้นก็แลดูน่าจะเป็นเกมแนว TD ง่าย ๆ ที่คุณจะต้องปล่อยสมุนออกมาเพื่อดันแถวตัวละครที่พุ่งเข้าปะทะกันและทำลายฐานอีกฝ่ายให้ได้ แต่พอลองเหลียวลงไปอ่านรีวิวจากผู้เล่นหลาย ๆ ท่านที่กดคะแนนแง่ลบ ผมก็พบว่าระบบของเกมมันซับซ้อนกว่าที่ผมเคยมองว่ามันเป็นมาก ซับซ้อนถึงขนาดที่ผู้เล่นบางท่านอาจจะเข้าไม่ถึงระบบพื้นฐานและหลงผิดคิดว่าระบบเกมนั้นแย่

ถ้าคุณหยุดอ่าน Tutorial เราก็จะมีโอกาสพบว่าสิ่งที่เกมต้องการให้เราทำก็คือ "สร้างวงพาเหรด" ขึ้นจากตัวละครที่ใช้เครื่องดนตรีนา ๆ ชนิด โดยเมื่อมีตัวละครที่ใช้เครื่องดนตรีต่างกันอยู่ในสนาม นอกจากวงพาเหรดจะได้รับบัพตอนต่อสู้ พาเหรดก็จะได้ Voltage Level ที่ช่วยเร่งค่า Motivation (ค่าร่ายเพื่อใช้เรียกตัวละคร) ให้สูงขึ้นด้วย (Voltage lv. จะไม่ลดเมื่อสมุนถูกตีสลบ Buff แค่หาย แต่ Voltage จะสูงขึ้นตามจำนวนเครื่องดนตรีสูงสุดในสนามเท่านั้น สูงสุดคือ 8)

ดังนั้นถ้าเราต้องการที่จะเรียกสาว ๆ (ที่ล้วนแต่มีค่าร่ายสูง) ร่วมพาเหรด เราจึงจำเป็นที่จะต้องเร่ง Voltage Level ด้วยการส่งเครื่องดนตรีหลากชนิด โดยปกติแล้ว Voltage Lv.7 (ทำได้โดยมีเครื่องดนตรี 7 ชิ้นในสนาม) ก็มักที่จะกินเวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้นถ้าคุณจัด Formation (ทีม) ไม่ได้แย่มากมายนัก โดยองค์ประกอบทีมก็สามารถที่จะทำได้หลากหลายขึ้นอยู่กับสาว ๆ ที่คุณใช้เป็นหลัก (เช่น อินะจะเด่นถ้าใช้ร่วมกับสมุนตีเป็นกลุ่ม หรือโนเอลจะช่วยเสริมแกร่งให้พวกตัวแทงค์ได้ดีมาก ๆ)

[หมายเหตุ: อัพเดทล่าสุดของเดือนเมษายน ตัวเกมเปลี่ยนไปเร่ง Motivation ได้ด้วยการอัพเกรด A-chan ซึ่งนางไม่ได้นั่งโต๊ะรากงอกเฉย ๆ แต่ยังยิงบีมเพื่อป้องกันตัวเองได้ด้วย ดังนั้นเมื่อเริ่มเกม สิ่งแรกที่เราควรทำจึงเป็นการอัพเกรด A-chan ก่อนและใช้แฟนสักตัวช่วยบล็อกแถวศัตรู เมื่อ A-chan ถึง lv.8 เป็นเรื่องง่ายมาก ๆ เลยที่จะเรียกสาว ๆ ออกมาช่วยรบ แต่เครื่องดนตรีก็ยังสำคัญเพราะมันช่วย Buff วงของเราได้เยอะมาก]

ในเกมอาจจะมีเอ่ยถึงบ้างเรื่องศัตรูที่มีออร่าหลากสี (หรือก็ธาตุในเกมนี้) แต่ถ้าคุณจัดทีมมาดี คุณก็แทบจะไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้มากมายนัก อย่างไรก็ตามถ้าออร่าถูกสี ผมก็ไม่ปฏิเสธว่ามันสามารถที่จะช่วยให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้นในฉากนั้น

คุณไม่จำเป็นที่จะต้องจ่ายเพิ่มใด ๆ หลังจากซื้อเกม เพราะตัวละครทั้งหมดสามารถที่จะปลดล็อกได้ผ่านกาชาในเกมที่ใช้ตั๋วซึ่งได้จากการเล่น โดยตั๋วเหล่านี้ก็มีให้เมื่อเล่นผ่านฉากหรือดร็อปแบบสุ่มเมื่อจบฉาก ก็เหมือนเกมกาชาอื่น ๆ ตัวละครของคุณจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อจั่วเจอซ้ำ และแน่นอนว่าตัวเกมมีระบบการันตี ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าคุณจะพลาดสาวคนไหน (ในขณะที่โพสต์ความเห็นนี้ ผมเล่นไป 8 ชั่วโมงนิดหน่อย ก็ได้ทั้ง Gen3 กับ Myth ครบแล้ว) และถ้าเกมเริ่มยาก เราก็สามารถที่จะอัพเกรดตัวละครได้ด้วยเงินในเกมเช่นกัน

[หมายเหตุ: อัพเดทเดือนเมษาฯ มีการขายชุดว่ายน้ำของฟุบุกิ แต่ราคาก็สมเหตุสมผล และก็เป็นแค่ Skin ซึ่งไม่มีผลต่อการเล่นใด ๆ ดังนั้นจะช่วยสนับสนุนหรือไม่ก็ได้ครับ]

ที่น่าพอใจคือเมื่อเล่น ๆ ไป ตัวเกมก็มีระบบเพิ่มเข้ามาอีกทีละนิดละหน่อย ยกตัวอย่างเช่น PR ที่ช่วยให้คุณสามารถหาทุนผ่านเงินมาใช้ได้ผ่านการโปรโมตขบวนพาเหรดไอดอลของเรา หรือระบบทัวร์ ที่ถูกสร้างมาเพื่อเวียนฉาก เป็นเกมเล็ก ๆ ที่มีคอนเทนต์เยอะกว่าที่ผมคาดไว้มาก

เหมือนดังเช่นที่กล่าวไป HoloParade เป็นเกมที่เล่นได้เพลิน ๆ แต่ก็มี Strategy มากกว่าที่คาด ถ้าคุณชอบเกมแนว TD ชิว ๆ และสาว ๆ Hololive นี่ก็เป็นเกมที่คุณควรจะโดน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตัวเกมจะมีอัพเดทตัวละครในเจนอื่นเพิ่มทีหลัง (ขายเป็น DLC ก็เอา ขอแค่ให้มี)
Posted 2 December, 2023. Last edited 19 April.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
13 people found this review helpful
122.9 hrs on record (17.6 hrs at review time)
"อารมณ์ที่เก่าแก่และทรงอิทธิพลที่สุดสำหรับมนุษย์ก็คือความกลัว และความกลัวที่เก่าแก่และทรงอิทธิพลที่สุดก็คือความกลัวในสิ่งที่เราไม่รู้จัก"
- เอช. พี. เลิฟคราฟท์

เรื่องราวของเราได้เริ่มต้นขึ้นในปี 1936 เมื่อคุณถูกฟ้าฝนซัดไปเกยตื้นอยู่ริมหาด คุณไม่มีสิ่งใดเหลือติดตัวมาเลยนอกจากสมุดบันทึกเปียก ๆ กับร่างกายอันชุ่มฉ่ำ และจิตวิญญาณของคุณ บนชายหาดอันโดดเดี่ยว คุณได้ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่เพื่อที่ระลึกว่าคุณได้ไปอยู่ยังที่แห่งนั้นได้อย่างไร และคุณก็ได้รับคำตอบ คุณได้เดินทางมายังสถานที่อันกันดารแห่งนั้นที่นี่เพื่อรับงานใหม่ในฐานะบรรณารักษ์ แต่ปัญหาก็คือบ้านใหม่ของคุณเคยพบเจอกับอัคคีภัยและเหลืออยู่ในสภาพที่ไม่สู้จะดีนัก คุณในฐานะบรรณารักษ์จึงจำเป็นที่จะต้องฟื้นฟูหอสมุดแห่งนั้นกลับขึ้นมาใหม่...

...แต่เรื่องราวจะดำเนินไปเช่นไรนั่นก็ขึ้นอยู่กับคุณ เราต้องขอเตือนว่าหอสมุดแห่งนี้เต็มไปด้วยศาสตร์ต้องห้ามที่มนุษย์ไปควรเข้าถึง เพราะมันอาจจะเปลี่ยนคุณให้กลายไปเป็นอีกสิ่งหนึ่งหรือไม่ก็จมลงสู่ความบ้าคลั่งตลอดกาล

ส่วนตัวผมเองในฐานะนักอ่าน ผมใช้เวลาไปไม่น้อยกับ Sunless Sea และ Cultist Simulator ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่ของเกมเหล่านั้นก็ได้ถูกเขียนและสร้างขึ้นโดยคุณ Alexis Kennedy ผู้สร้างเกมนี้ ดังนั้นผมจึงตั้งตารอ BOOK OF HOURS มานานมาก และมันก็เป็นเกมที่คุ้มค่าอย่างมากกับการรอคอย

ก็เหมือนดังเช่น Cultist Simulator ที่เป็นเหมือนกับเวอร์ชั่นต้นแบบของเกมนี้ รูปแบบการเล่นหลัก ๆ ของ BOH ก็ยังคงเป็นการใช้ไพ่ในมือที่มือเพื่อที่จะนำมาผสมกันหรือทำปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมในเกมเพื่อที่จะปลดล็อคการ์ดใบใหม่มาใช้

ออกจะฟังดูน่าเบื่อ แต่จุดเด่นของ BOH ก็คือเนื้อหา โลกฉากหลัง และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่คุณจะได้พบซึ่งถูกบอกเล่าผ่านตัวอักษร คุณภาพงานเขียนภายในเกมจัดได้ว่าเยี่ยมยอด มันเหมือนกับวรรณกรรมชั้นดีสักเล่มที่สามารถสนองตอบและเปลี่ยนเนื้อหาได้ไปตามความต้องการของคุณ ดังนั้นถ้าคุณอยากที่จะเล่นมันให้สนุก คุณก็จำเป็นที่จะต้องมีรักการอ่านและมีทักษะทางภาษาที่ดีในระดับหนึ่ง เพราะมีหลายสิ่งในเกมที่จำเป็นจะต้องอาศัยการอ่าน และคุณอาจจะเผลอใช้การ์ดพลาดถ้ามัวแต่พึ่งพา UI ของเกมโดยที่ไม่ได้อ่าน ยกตัวอย่างก็เช่นในช่วงต้นเกม คุณสามารถที่พัฒนาทักษะเริ่มต้นได้ถึงเลเวล 3 แต่ถ้าคุณไม่ได้หยุดอ่าน คุณก็อาจจะเสียบทเรียนที่มีไปฟรี ๆ และพัฒนาทักษะได้แค่ระดับ 2 เท่านั้น

คุณจะได้ใช้เวลาใน BOH หมดไปกับการฟื้นฟูหอสมุด (โดยอาศัยความช่วยเหลือจากคนท้องถิ่น) พัฒนาทักษะของคุณ (ด้วยการเรียนรู้ความลับจากหนังสือ) และทำหน้าที่บรรณารักษ์ให้สมบูรณ์ด้วยการค้นหาหนังสือเพื่อมอบให้แก่ผู้ที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนในต่างฤดูกาล (ตัวเกมมีสภาพอากาศและฤดูกาล ซึ่งส่งผลมากต่อประสบการณ์การเล่นของคุณ) ตัวเกมนั้นค่อนข้างที่จะชิวกว่า Cultist Simulator มาก คุณจึงมีเวลาเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้มากเท่าที่คุณต้องการ และสามารถที่จะลองผิดลองถูกได้หลายอย่าง คุณสามารถที่จะย้อนกลับมาเล่นซ้ำได้หลายครั้งด้วยปูมหลังของบรรณารักษ์ที่ต่างออกไป

ข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่าง BOH และ CS ก็คือ BOH นั้นมีจุดเด่นของเกมกระดานมากกว่า CS ที่เป็นเกมเรียงไพ่ เพราะภายในเกมนอกจากจะมีสถานที่สำคัญให้สำรวจ ภายในหอสมุดก็ยังมีไอเท็มและเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ที่คุณสามารถปฏิสัมพันธ์ได้ แน่นอนว่าคุณสามารถที่จะปรับเปลี่ยนหรือตกแต่งพื้นที่ต่าง ๆ ของหอสมุดได้ตามความต้องการ และผมก็อยากที่จะแนะนำให้จัดพื้นที่ต่าง ๆ ให้เป็นระเบียบ โดยเฉพาะในกรณีของหนังสือที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเกมดำเนินไป มิฉะนั้นแล้วชีวิตของคุณจะยุ่งเหยิงวุ่นวายจนทำให้คุณรู้สึกคล้ายจะเป็นบ้าได้

โดยรวมแล้ว BOOK OF HOURS คือเกมที่ผมอยากจะให้ทุกท่านได้ลองสักครั้งโดยเฉพาะสำหรับท่านที่รักการอ่าน มันคือหนึ่งในเกมที่ประหลาดที่สุดบนท้องตลาด และน่าจะมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมอย่างประหลาดให้กับคุณได้อย่างไม่มีวันลืม
Posted 19 August, 2023.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
< 1  2  3 ... 18 >
Showing 1-10 of 180 entries