Recent reviews by RaLoS

Poker Roguelike ที่ดีที่สุดใน 38 โลก

จากชั่วโมงที่เล่น ก็นั่นแหละไม่รู้จะปลาบปลื้มยังไงดีกับการที่ได้เห็นโลก DnD มันโลดแล่นด้วยมือของ Larian Studios เสียดายแค่ Act สุดท้ายที่จบไวไปนิด กับฉากจบที่แปลก ๆ นิดหน่อย แต่นี่ก็นับว่าดีที่สุดเท่าที่มีตอนนี้แล้ว

เกมการ์ดมาร์เวลที่ดีที่สุดตอนนี้

ใครชอบเกมแนวหยั่งเชิงการเดินหมาก แบบต้องคิดพลิกกันไปมาแบบเทิร์นต่อเทิร์น ขอเชิญลองเกมนี้เลย ด่วน!!
จะเล่นแบบ 1v1 หรือ 2v2 ก็สนุกแถมธีมและเพลงที่ใส่มาคืออย่างเท่ ให้ฟิลลิ่งสุด ๆ

เกมที่อาจจะเป็น CiV Killer ได้เลยนะ หลาย ๆ อย่างในเกมชอบกว่ามาก เสียอย่างเดียวตอนเปิดเกมแรก ๆ บัคเยอะไปหน่อย แต่นอกนั้นคือแบบดีงาม แค่ภาคเดียวก็ฟินกว่า CiV6 ที่ซื้อ DLC ครบแล้วอ่ะ

อีกตำนานหนึ่งของการบูชาเทพเจ้า
ขอแยกประเด็นไปนะ
ด้านเนื้อเรื่อง เปลี่ยนชื่อเป็นหนีตายนรกหมื่นลี้แทนละกันอารมณ์นั้น 555 (คือไม่อยากสปอยล์เยอะ) แต่รวมก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ของซีรีส์อยู่
ด้านเกมเพลย์ โหมด Don't Play Together ภาคนี้ให้ประสบการณ์ที่ดีกว่าสองภาคที่แล้วเป็นอย่างมาก เพราะมันแยกออกเป็นสองเพลเยอร์แบบชัดเจน ทั้งซีนที่แยกกันไป และการแบ่งตัวละครแบบชัด ๆ ไปเลยว่าตัวไหนของใครไม่โยนไปมาแบบแต่ก่อนที่อยากให้เพลเยอร์ทั้งสองเล่นครบทั้ง 5 ตัว
ด้านอื่น ๆ ภาพสวยขึ้นเยอะ แสงดีมากภาคนี้ แต่ก็มีส่วนแบบรายละเอียดบางอย่างของตัวละครยังแปลก ๆ อยู่บ้างเช่น คอบวมในบางฉาก หรือมือผู้หญิงที่หนามาก กับบัคเล็ก ๆ น้อย ๆ เวลาเล่นสองคนที่ทำให้เสถียรขึ้นมากแล้วแต่ก็ยังมีอยู่นิด ๆ พอให้อภัย
นอกนั้นก็คือรอภาค 4 Devil in Me ที่ Curator ได้เกริ่นไว้อย่างเจ็บแสบ
และ
Jason หล่อมาก จบนะ

บางครั้งคนที่สำคัญในชีวิตเราก็เดินผ่านเราไปทุกวันโดยไม่รู้ตัว
ด้วยความที่เป็นเกมของ Annapurna ก็จะคาดหวังกับเนื้อเรื่อง ซึ่งส่วนตัวเนื้อเรื่องเกมนี้ทำออกมาได้แบบเรียกว่าไงดีอ่ะ บิวตี๊ฟูล เหรอ?
ความลื่นไหลของเกมจากเกมเพลย์ที่แบ่งเรื่องราวออกเป็น 3 พาร์ท วงจรชีวิตของ 3 ตัวละครในเกม ที่ก็แอบใส่ความเชื่อมถึงกันเล็ก ๆ น้อย ๆ เอาไว้ให้เห็นว่าในกรุงลอนดอนเนี่ย มันก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้นหรอกนะ แล้วพอถึงจุดที่เชื่อมเข้าหากันแล้วมันก็แบบ อู้หูวววว
ด้านเกมเพลย์ ด้วยความที่ก็เห็นหลายเกมของ Annapurna เน้นที่การเล่าเรื่องเป็นหลักความพยายามที่จะเป็นเกมแบบ Narrative Adventure จึงส่งออกมาไม่ได้ชัดขนาดนั้น มันให้อารมณ์ดูหนังแต่มีปุ่มให้กดเล่นเพลินมือมากกว่า ตัวเลือกการพูดของตัวละคร เป็นเพียงการเปลี่ยนบริบทของสิ่งที่พูดคุย แต่ทั้ง 3 ตัวเลือกมันไปทางเดียวกันหมดแค่ว่าหนักหรือเบา และไม่ส่งผลกับเส้นเรื่องหลักเลย (ส่งผลแค่ตอนจบ) ระหว่างนั้นก็มีให้เดินตัวละครบ้างไม่ให้เดินบ้าง มีมินิเกมเล็ก ๆ ให้เก็บเล่น ๆ พอถูไถ
ถึงจะต้องเล่น 3 ตัวละครสลับไปมา เพราะเกมมี 6 Chapter มันไม่สามารถลากยาวเรื่องของใครคนใดคนหนึ่งไปสุดก่อนได้ แต่ตัวเกมก็เลือกจุดตัดจบให้เราได้คิดเล่น ๆ ว่าอยากรู้เรื่องของใครก่อนใน Chapter ถัดไป ซึ่งเป็นจุดที่ดี
โดยรวมยังคงอิ่มเอมในแบบฉบับของ Annapurna และเห็นแนวทางการพัฒนาต่อของค่ายที่ทำให้เราได้รู้สึกถึงความสดใหม่ของสิ่งที่นำมาใช้และเล่าอยู่ตลอด
ถ้ามองว่า Last Stop เป็นซีรีส์หรือหนัง ก็นับว่าเล่ามาได้ดีและจบได้ในแบบที่ควรจะเป็นเรื่องนึงเลย เป็นไปได้ว่าอาจจะมีภาค 2 ซึ่งก็คงจะเล่นอีกนั่นแหละ

เมื่อโซลไลก์ถูกปรับให้เบาลงแต่ยังคงน่าหงุดหงิด

จริง ๆ เป็นคนที่แบบไม่ชอบเกมแนวนี้เลยนะ เพราะมันยาก แบบมนุษย์อย่างเราที่เน้นเสพย์แต่เกมเนื้อเรื่อง พอมาเจอเกมนี้ก็แบบ อ๊ากกกกกกก โซลไลก์อีกแล้วอ่อ แล้วก็เล่นไปหัวร้อนไป 5555

จริง ๆ จุดที่เกมนี้ยังต่างจากโซลไลก์ที่เคยเล่นมาก่อนหน้าก็คือการที่เกมเป็นมุมแบบ Top View Isometric และงานอาร์ตดีตามสไตล์ค่าย ก็เลยอ่ะเล่นกะด่ะ

แล้วพอเกมเป็นภาพมุมนี้ผนวกกับความเป็น Open World Adventure นิด ๆ ก็เลยมีการใส่ลูกเล่นการแก้พัซเซิลการเก็บของในเกมสไตล์ Adventure เข้ามา ที่จะค่อย ๆ ปลดล็อคความสามารถตัวละครแล้วค่อยวนกลับมาเก็บ ก็เป็นอะไรที่ยังชอบอยู่เพราะปกติก็ชอบ Adventure มากอยู่แล้ว

ตัวเกมมีแอคชันที่ง่ายนะ เพราะบอสมาเป็นแพทเทิร์นแบบชัดเจน ถ้าเข้าใจแพทเทิร์นก็สู้ได้ไม่ยาก แค่มันจะชอบมีท่าลับที่แทรกเข้ามาในบางจังหวะหรือซัมมอนมอนสเตอร์ตัวเล็กตัวน้อยมาขัดแข้งขัดขาเรา จนบางทีก็สะดุดหินตายเองไปซะงั้น = =

โดยรวมแล้วเกมมีสเน่ห์ของตัวเองในด้านงานศิลป์และเกมเพลย์ รู้สึกเกมทรง ๆ นี้ช่วงหลังมามีน้อยเหมือนกัน ตัวเกมไม่ยาวมากด้วย แต่นั่นแหละเจอบอสทีหัวร้อนที แต่ก็ยังคงความสนุกและความคิดในหัวที่ว่า อีกนิดเดียวจะชนะแล้ว โว๊ะ!!

ลองไปหามาเล่นกันดูนะ ถ้าคนชอบโซลไลก์ก็แนะนำเลย

จากฮีโร่ชุมชนสู่ตำนานที่ถูกบันทึก
อันนี้คือการเล่าจากการเล่นจบแคมเปญแรกนะ ยังมีอีก 4 แคมเปญที่เป็นเนื้อเรื่องหลัก และแคมเปญแบบแรนด้อมเนื้อเรื่องอีกมากมาย
เรื่องราวที่เล่าแบบง่ายแสนง่ายจากกลุ่มตัวละครเพื่อนสนิท 3 คน ที่ตกกระไดพลอยโจนเข้าใกล้ความจริงของวิกฤตระดับโลกบางอย่าง จึงเริ่มออกเดินทางช่วยเหลือผู้คนจากโชคชะตาที่นำพา และยังพบคนอื่น ๆ ที่มีปณิธานคล้ายกัน แม้แต่ลูกที่เลี้ยงมาก็ได้รับรู้ความรู้สึกนี้ของพ่อแม่ไปด้วยจนร่วมออกเดินทางด้วย
เนื้อเรื่องย่อย ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ อีกมากมายที่เกิดสุ่มขึ้นมาให้เราได้ติดตาม แถมตอนจบที่เครดิตขึ้นก็มีสรุปให้เห็นด้วยนะว่าเรื่องราวเหล่านั้นที่เราได้แวะเวียนไปข้องเกี่ยวนั้นจบยังไง มองเห็นถึงความใส่ใจของทีมงานที่สอดแทรกเรื่องราวเหล่านี้เข้ามา
ตัวเมคานิกของเกมเป็น RPG Turn-based แบบง่ายถึงง่ายที่สุด แต่ละคลาสมีความเฉพาะตัวในการวางแผนของตัวเอง แต่ทุกตัวละครแตกต่างโดยสิ้นเชิงจาก Trait ที่เกมสร้างไว้ให้ และการสุ่ม Ability ให้เลือกอัปเกรดเมื่อตัวละครอัปเลเวล ทำให้โอกาสที่เราจะสร้างตัวละครที่ออกมาเหมือนกันเป๊ะ ๆ แทบจะเรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลยในเกมนี้ (ยกเว้นหน้าตาอ่ะนะ)
โดยรวมแล้วถ้าไม่ได้รางวัลอะไรสักอย่างของปีนี้จะเสียดายมาก ๆ เลยนะ เพราะของเขาดีจริง ๆ

ต้องยอมรับว่าทุกความสัมพันธ์ย่อมมีวันเลิกรา
อีกเกมหนึ่งของทีม Hazelight ที่เริ่มใช้ Gameplay ที่แบ่งหน้าจอเพื่อเล่าเรื่องราวที่แตกต่างกันระหว่างตัวละครที่ผู้เล่นทั้งสองคนจะได้เล่น โดยที่อีกหน้าจอหนึ่งถึงจะไม่ใช่จอของเรา แต่ก็มีความสำคัญกับตัวเองที่ต้องคอยดูอยู่ตลอด
ถ้าบอกว่า It take two คือเกมแนวครอบครัว เหมาะกับคนเป็นแฟนเล่นกันเพราะเล่าถึงสองพ่อแม่ที่ความสัมพันธ์เดินทางมาถึงทางตัน
A Way Out กลับเล่าถึงมิตรภาพของเพื่อนที่เจอกันในคุกและพยายามหาทางหนีออกมาด้วยกันเพื่อแก้แค้นคนที่ทำให้พวกเขาทั้งสองต้องมาอยู่ที่จุดนี้
มู้ดโทนของเกมเต็มไปด้วยฉากดราม่า ความหม่น ๆ ในใจ และฉากแอคชันที่มาเป็นพัก ๆ รูปแบบเกมเน้นการเป็นเกมที่เล่าเรื่องราวมากกว่าการเป็น Platformer แบบ It take two ซึ่งกลับให้เราได้เห็นอีกมุมของเกมแนวเดียวกัน และรู้เลยว่าทีมตั้งใจทำงานเป็นอย่างมากในการที่จะเล่าประสบการณ์แบบนี้ให้กับผู้เล่น
ยังรอเกมแนวนี้จากค่ายนี้อีกนะ อยากรู้ว่าจะเอาคอนเซปอะไรมาเล่าให้เราได้อินกันอีก รอชม