28
Products
reviewed
1151
Products
in account

Recent reviews by Ning

< 1  2  3 >
Showing 1-10 of 28 entries
3 people found this review helpful
65.5 hrs on record
Early Access Review
เมื่อเกมเพลย์แบบ Deus Ex มาเจอกับบรรยากาศหนังนักสืบฟิล์มนัวร์

[+] ประสบการณ์สดใหม่ น่าจะเป็นเกมแรกๆ ที่เน้นการสืบสวนลึกๆ โดยเล่นกับข้อมูลส่วนบุคคล ที่มาในรูปแบบเน้น stealth+sandbox
[+] งานศิลป์ช่วยสร้างบรรยากาศในเกมได้ดีมาก โดยเฉพาะฉากในอาคารไม่ว่าจะเป็นห้องพัก หรือออฟฟิศสำนักงาน คือไอ้บล็อคๆ เนี่ยพอมันรวมกันแล้วดูดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ
[+] Lore ในเกมน่าสนใจมีเอกลักษณ์เป็นตุเป็นตะดีแท้ แอบชวนให้นึกถึงเกม Omikron: The Nomad Soul (ในแง่ที่ดีนะ)
[+] การออกแบบและเลือกใช้เสียงทั้งเอฟเฟ็คและ ambient sound (หึ่งๆ เหมือนนั่งหลังตู้เย็น) รวมไปถึงดนตรีประกอบเยี่ยมทั้งหมด
[+] จากการติดตามใน Discord รู้สึกว่าผู้พัฒนาเค้ามีการสื่อสารที่ดี เป็นระบบระเบียบ เลยคิดว่าน่าจะทำได้ตามเป้ามั้ง 55+

[?] กราฟิคสไตล์นี้ ถ้าไม่ชอบก็อาจจะเกลียดเลย
[?] บั๊กจุกจิก ที่ทุกวันนี้ยังแก้อยู่เรื่อยๆ คือยังดีที่เค้ายังตามแก้ หลายๆจุดอ่าน patch note แล้วนึกออกเลย แต่ที่แย่ดูเหมือนจะมีเรื่อยๆ
[?] อยากเห็นคนผลักดันเกมไปให้สุดๆ กว่านี้ ไม่ว่าจะจากทาง official หรือ modder จะตาม

[-] Performance มันแปลกๆ คือ framerate น่ะ OK ดีกว่าช่วงแรกๆ เยอะมากๆ แต่มันจะสะดุดเป็นช่วงๆ โดยเฉพาะนอกอาคาร เหมือน streaming ฉากได้ไม่ดี โดยเฺฉพาะถ้าตัวละครวิ่งเร็วๆ ถ้าแค่เดินก็ไม่มีปัญหา ไม่แน่ใจว่าเครื่องแรงๆ อาจจะไม่เป็นมั้ง
[-] สมดุลในเกมยังทำได้ไม่ดี ทั้งเรื่องฐานข้อมูลภาครัฐซึ่งพอใช้ๆ ไปมันจะทำให้เกมง่ายเกิน(เห็นมี mod แต่ยังไม่ได้ลอง) ไม่มีบทลงโทษที่แรงพอตอนบุกรุกห้อง ไม่มีข้อจำกัดหรือบทลงโทษตอนได้สิทธิ์ในฐานะแขกเข้าไปห้องคนอื่น หรือการไล่ถามคนอื่นเยอะๆ เงินในเกมหาได้ไม่ยาก การขโมยของมีค่ามาขายไม่มีบทลงโทษ และเงินไม่ค่อยมีจุดมุ่งหมายในการใช้ ห้องพักไม่รู้จะหรูไปทำไม ไม่ก็ต้องทำให้ระดับความยากแตกต่างกันมากกว่านี้
[-] QoL หลายๆ อย่างก็น่าปรับปรุงให้ดีขึ้นได้อีก
[-] ใช้จอยเล่นแล้วมันเบี้ยวไปมาเหมือนคนเมา อันนี้คือเข้าใจว่าผู้พัฒนาเค้ารับรู้แล้ว แต่สงสัยว่าทำไมเกมอื่นไม่เห็นมีอาการแบบนี้

Shadows of doubt เป็นเกมแนว Immersive sims มุมมอง 1st person ในธีม Sci-fi Noir Retro Dystopian แบบ sandbox ซึ่งเน้นการรอบเล้นเป็นหลัก (ในเกมมีปืนก็จริง แต่ตัวเราใช้ยิงไม่ได้ แต่ใช้เป็นอาวุธระยะประชิดได้ 55)

เรื่องราวในเกมเกิดปี ค.ศ. 1979 แต่ไม่เหมือนโลกที่เราอยู่ซะทีเดียว เพราะประวัติศาสตร์ในเกมเปลี่ยนทิศทางไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1610 ทำให้เหตุการณ์ที่เหลือถูกเปลี่ยนตามไปด้วย

เรารับบทเป็นนักสืบเอกชนขององค์กรหนึ่ง ภารกิจหลักคือไขคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ภารกิจเสริมก็จะมีรับจ้างทั่วไป เช่น ขโมยเอกสารสำคัญของ บ.คู่แข่ง ตามจับตัวคนร้าย ทำลายข้าวของเครื่องใช้ในบ้านเป้าหมาย ฯลฯ เมืองที่เราอยู่มีแต่มลภาวะทั้งน้ำและอากาศ มีสารกัมมันตรังสีที่ตกค้างจากสงคราม ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน เศรษฐกิจตกต่ำ ประเทศอยู่ภายใต้การปกครองของประธานาธิบดีที่เป็นเจ้าของบรรษัทยักษ์ใหญ่ ที่เอากองกำลังตำรวจของตัวเองเข้าแทนกำลังพลเดิม และอีกสารพัดวิธีที่ภาครัฐคอยควบคุมชีวิตคนในเมือง(ทั้งทางตรงและทางอ้อม) ดังนั้นเป้าหมายสูงสุดคือไขคดีให้สำเร็จ เก็บเงิน แล้วยกระดับสถานะทางสังคมของตัวเองให้สูงพอที่จะเกษียณตัวเองออกไปจากเมืองบัดซบแห่งนี้ให้ได้

จุดเด่นของเกมอยู่ที่ "A procedurally-generated sandbox stealth game..." คือ โลกในเกมจะถูกสร้างขึ้นโดยอัลกอริธึม ปะติดปะต่อกันจนเป็นเมือง(ขนาดของเมืองแล้วแต่เรากำหนด) รวมไปถึงชื่อร้านค้า ชื่อตึก ชื่อถนน ชื่อคน ก็มาจากระบบสร้างขึ้นด้วย (ซึ่งเกมแนว roguelike ก็ใช้วิธีนี้เยอะ) และโลกในเกมก็จะดำเนินไปตามครรลองของระบบ โดยไม่ได้ถูกเขียนสคริปท์ไว้ล่วงหน้า

เช่น มีนิรนามคนหนึ่ง ก่อนไปทำงานก็แวะไปซื้อปืน เพื่อไปฆ่าเพื่อนร่วมงานที่พักอยู่อีกตึก (อย่าเพิ่งไปถามหาแรงจูงใจนะ เข้าใจว่าระบบมันกำหนดมาให้ทำ 55+) แล้วทิ้งเบาะแสไว้ในที่เกิดเหตุ เพื่อนบ้านอาจจะได้กลิ่นศพ เลยโทรแจ้งตำรวจ พอตำรวจไปถึงก่อนเรา แล้วปิดล้อมที่เกิดเหตุไว้ เราก็ต้องแอบเข้าไปหาหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ-สกุล เพศ อาชีพ อายุ กรุ๊ปเลือด รูปแบบรอยนิ้วมือ ขนาดรองเท้า ขนาดปลอกกระสุน สภาพของเหยื่อ ข้าวของในที่เกิดเหตุ คุ้ยบิลใบเสร็จในถังขยะว่าไปทำอะไรที่ไหนมาบ้าง เปิดคอมดูอีเมล์ว่าติดต่อกับใคร เช็คโทรศัพท์สายที่โทรเข้ามาล่าสุด ดูรายชื่อเพื่อนในสมุดโทรศัพท์ ดูกล้องวงจรปิด ลามไปถึง ถ้าในห้องมีคนอาศัยอยู่ด้วยกันก็ต้องไปเช็ค หรือลามไปถึงเพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน แล้วเอาข้อมูลที่ได้มาปะติดปะต่อกัน จนได้ตัวคนร้าย

คดีที่สนุกคือคดีที่ได้เบาะแสมาน้อยมากๆ เกือบจะคล้ายงมเข็มในมหาสมุทร แต่พอเราเก็บข้อมูลมาปะติดปะต่อกัน จนเดาได้ว่าคนร้ายเป็นใคร มันจะฟินตรงนั้น 55+ ซึ่งบางทีมันอาจจะต้องใช้ทั้งแรงคือไล่ค้น ไล่เคาะประตู ถามทุกห้องหรือใช้สมองลองคิดหาวิธีที่อาจจะเบาแรงกว่านั้น หรือแม้แต่ไปเจอทางตัน เพราะใช้เวลานานไปหลักฐานจางไปหมดแล้ว(ซึ่งก็สามารถเลิกทำคดีนั้นได้) และอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญคือฐานข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ส่วนกลางที่ตั้งอยู่ในสำนักงานของรัฐ ซึ่งมีข้อมูลของประชากรในเมืองแทบจะทุกคน เราสามารถไปค้นหาชื่อ-สกุลและข้อมูลส่วนตัว ที่เรามีอยู่ในมือได้

เมื่อไขคดีนึงสำเร็จก็จะได้เงิน โดยจะสามารถนำไปอัพเกรดซื้อที่พักที่ดีที่หรูที่ใหญ่ขึ้นได้ ซื้อเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งห้องได้ เกมไม่ได้มีโหมดแคมเปญเนื้อเรื่อง ดังนั้นส่วน tutorial เนี่ยแหละที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นเนื้อเรื่อง การจบเกมก็คือเก็บเงินแล้วเกษียณตัวเอง ถ้าไปเริ่มเกมในเมืองใหม่ ตัวเกมก็จะสร้างผังเมืองใหม่ ชื่อทุกอย่างใหม่หมด เริ่มเล่นด้วยตัวละครใหม่อะไรแบบนั้น

แล้วก็มีในส่วนการอัพเกรดสกิลตัวเรา ซึ่งมันจะคล้ายพวกเกมแนว Cyberpunk ที่เป็น cybernetic-module เอามาผ่าตัดใส่ร่างกายอะไรแนวนั้น(น่าขันตรงที่... ของพวกนี้ก็มักเป็นของค่ายใดค่ายหนึ่ง ในบรรดาบรรษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายเนี่ยแหละ บางอันเหมือนจะดีได้รับเงินก้อนมาฟรีๆ แต่ต้องแลกกับอาการเสพย์ติดเครื่องดื่มของบ.นั้นแบบถี่ๆ จะลงแดงทุกชม.โคตรฮา 55+ ซึ่งในอนาคตเราอาจจะเจออะไรแบบนี้จริงๆ ก็ได้) โดยของพวกนี้มักจะได้มาจากการไปเปิดเซฟของชาวบ้าน ไม่ว่าจะในหัองพักหรือสำนักงาน หรือพวกภารกิจเสริม

แก่นหลักของเกมแข็งแรงมาก มีศักยภาพให้พัฒนาและเพิ่มเนื้อหาไปได้อีกเยอะแทบจะไม่มีที่สิ้นสุด เพราะไม่ว่าจะเป็นระบบคอมในเกม รวมไปถึงข้อมูลส่วนบุคคลในส่วนสุขภาพ โรคประจำตัว ค่าสายตา ฯลฯ คือลองจินตนาการดูแล้วมันไปได้เรื่อยๆ จริงๆ ซึ่งความหวังคิดว่าต้องเอนเอียงไปทาง Community mod เสียมากกว่า ซึ่งก็อยู่ใน roadmap ของทางผู้พัฒนาเค้าที่จะทำให้สามารถ mod เกมได้สะดวกขึ้น(แต่เดิมก็มีคนทำ mod กันแล้วนะ แต่มันไม่สะดวก แต่ที่ว่ายากๆ ก็ยังมี mod ที่เพิ่มมินิเกมเข้าไปในคอมแล้วตอนนี้)

เล่าทิ้งท้ายสักนิดว่า... ทำไมผมถึงซื้อเกมนี้ แถมซื้อช่วงเปิดตัวและยังเป็น Early access เสียด้วย(ซึ่งปกติจะรอลดราคา 55+)

คือก่อนหน้านี้เห็นเกมนี้ผ่านตาตั้งแต่งาน Steam Next Fest ครั้งก่อนๆ แต่ไม่ได้โหลดเดโมมาลอง จนมารู้ตัวอีกทีเอ้าเกมมันออกแล้ว เลยต้องไปหาวิธีลองให้ได้ และประกอบกับมาอ่านเจอรีวิวใน Steam ที่เค้าหยิบคำให้สัมภาษณ์ของ Warren Spector (เจ้าพ่อเกม Immersive Sims อย่าง Ultima Underworld, System Shock, Deus Ex) น่าจะช่วงราวปี 201x กลางๆ ว่า Spector เค้ามีโปรเจ็คในฝันที่ถ้าใครบ้าพอจะออกทุนให้ เค้าอยากจะทำเกมจำลองเมืองแบบ RPG ไม่ต้องใหญ่เอาแค่บล็อคเดียว(One City Block RPG) แต่ในบล็อคเดียวนั้นจะมีรายละเอียดแบบยิบย่อย และทุกๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบกับผู้คน ตั้งแต่ระดับเล็กไปถึงใหญ่

และ Shadows of Doubt นี่แหละใกล้เคียงสิ่งนั้นที่สุด (คนที่เขียนเค้าว่ามาแบบนั้น... แล้วผมก็เชื่อ 555
Posted 26 November, 2023. Last edited 29 November, 2024.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
2 people found this review helpful
6.8 hrs on record
เหล้าใหม่ในขวดเก่า
แม้หน้าตาจะดูโบราณ แต่ระบบก็เข้าถึงง่ายอยู่นะ

Skald (ขอเรียกย่อๆ) เกม 8-Bit Old-school RPG ที่ได้แรงบันดาลใจจากซีรีส์ Ultima (น่าจะเป็นช่วงภาค IV-V) เริ่มพัฒนาตั้งแต่ปี 2018 และมาเปิดระดมทุนใน Kickstarter กลางปี 2019 ตามข้อมูลใน KS เข้าใจว่าคุณ Scape-IT โปรแกรมเมอร์จากนอร์เวย์คือผู้พัฒนาหลักเพียงคนเดียว ในด้านเอนจิ้น(ครอบบน Unity)/โปรแกรมมิ่ง/เขียนบท(มั้ง) ที่เหลือเป็นงานของฟรีแลนซ์อีก 4 คนทำพวกงานอาร์ต + กราฟิค + ซาวด์ + ดนตรี

จะว่าไปตัวผมเองก็ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของ Skald ซะทีเดียว เพราะผมไม่ได้มีประสบการณ์+ความทรงจำร่วมกับเกม RPG ยุคก่อนปี 1990 เลยสักเกม ถ้าเป็นสมัยก่อนตอนเด็กคือเล่นเกมแนวนี้ไม่เป็น และถ้ามาสมัยนี้คือ รู้สึกมันเก่าไปหน่อยทั้งกราฟิคและระบบการเล่น เพราะโดยส่วนตัว เกมพีซีที่เริ่มมีกราฟิคน่าดึงดูดก็น่าจะเป็นเกมปี 1990 ขึ้นไปแล้ว

และแน่นอนสิ่งที่ดึงดูดความสนใจเมื่อแรกเห็นคือกราฟิคสไตล์ 8 Bit ที่มีความพืถีพิถัน ด้วยความที่ชอบกราฟิคแนว Pixel Art เป็นทุนเดิมจะกี่บิตก็ได้ ขอให้สวยถูกใจก็พอ ทำให้อยากลองเล่นขึ้นมาทันที เกมนี้ใช้แค่ 16 สี แต่ทำออกมาได้ลงตัวล้อความ Retro ได้สุดจริงๆ โดยรวมพอใจกับกราฟิค โดยเฉพาะเอฟเฟ็คความมืดรอบๆ ตัวเวลากลางคืนที่มันดูวูบๆวาบๆ แปลกตาดี

จุดเด่นนอกเหนือจากอาหารตา ก็คือฝีมือการเขียนบท/พล็อตเรื่อง ซึ่งเท่าที่เล่นมาก็เห็นว่ามีพลังพอที่จะทำให้ผู้เล่นอยากรู้ว่าเรื่องราวมันจะเป็นยังไงต่อไป เวลาอ่านคำบรรยายแล้วได้บรรยากาศเห็นภาพเลย (แม้บางคำจะแปลไม่ออก 55+) แต่เข้าใจภาพรวม ด้วยความที่ว่ากราฟิคมันก็แสดงผลได้แค่นั้นแหละ ดังนั้นเวลาจะบรรยายสีหน้าตัวละครหรือบรรยากาศก็ต้องเขียนบรรยายเอา ซึ่งจุดนี้ทำได้ดีมากในฐานะเกมอินดี้

ดนตรีและเสียงประกอบทำได้ดี แม้ท่วงทำนองดนตรีมันไม่ค่อยจะติดหูแต่ก็ไม่ได้ขัดหู และเข้ากับบรรยากาศน่าสะพรึงในเกมดี

แต่เท่าที่เล่นจนจบ Prologue (แต่ยังไม่ทะลุปรุโปร่ง) ถือว่าประทับใจเลยแหละ หลายครั้งที่นึกอยากเล่นเกม RPG ทั้งเก่าและใหม่แต่ก็ขี้เกียจมานั่งคิดว่าจะอัพตัวละครแบบไหน แต่กับเกมนี้รู้สึกว่ากำลังพอดี

จะว่าไปเกมที่มาในภาพลักษณ์แบบนี้ ถ้าคนไม่รักก็เกลียดเลย เพราะคนไม่ชอบกราฟิคแบบนี้ ก็คงจะมองข้ามไปเลย แต่ถ้าสะดุดตาก็คงจะหยิบมาลองเหมือนผม กับอีกกลุ่มที่เป็นคอเกมที่มีความหลังฝังใจกับเกม RPG ยุคเก่าในวัยเด็ก/หนุ่ม ก็น่าถูกใจมาก มันเป็นเกมประเภทที่คงจะชักชวนให้ใครมาเล่นได้ไม่ง่ายนัก 55+

ถ้ามองย้อนไปจะเห็นพัฒนาการ ทั้งเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงหลายอยู่หลายรอบ และเชื่อว่าคงยังมีอีกมาก เพราะที่เล่นตัว Prologue นี่จัดเป็นตัว Beta เท่านั้น ตัวเกมที่วางแผนจะมาในรูป Early Access ก็เหมือนจะถูกเลื่อนมาหลายรอบอยู่

แต่ข่าวดีล่าสุดคือคุณ Scape-IT เค้าเพิ่งออกจากงานประจำ มาเป็นผู้พัฒนาเกมแบบ Full-time ดังนั้นต่อจากนี้ไปก็น่าจะเห็นความคืบหน้าของเกมได้เร็วขึ้น
Posted 11 October, 2021.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
2 people found this review helpful
12.1 hrs on record
ดื่มด่ำกับประสบการณ์การเป็นนักบินในโลกสตาร์วอร์ (แม้คุณจะไม่มี VR ก็ยังสนุก) แต่...ถ้าคุณจะซื้อมาเล่นแค่โหมดเนื้อเรื่อง ด้วยราคาที่ลดแล้วเหลือ 500-600 บาท ก็ยังอาจจะไม่คุ้มเท่าไหร่นัก หนำซ้ำโหมด Multi ก็หาห้องจอยยากอยู่ในบางครั้ง

ต้องออกตัวก่อนว่าผมยังเล่นไม่จบนะครับ เล่นไปได้สักครึ่งเกม(ภารกิจที่ 7 หรือ 8 เนี่ยแหละ) แต่ EA Play หมดอายุแล้วเลยมารีวิวไว้ก่อนจะลืมเลือนไป 55+

ตอนแรกว่าจะไม่เล่น แต่ก็คันไม้คันมืออยากลองหาเกมขับยานยิงๆ ที่ไม่ซับซ้อน กะแค่เอามาลองดูนิดๆ หน่อยๆ ปรากฎว่าติดงอมแงมใช้ได้

ตัวเกมในส่วนเนื้อเรื่องออกแบบภารกิจมาได้น่าสนใจดี เป็นการเล่าและเล่นสลับกันของทั้ง 2 ฝ่าย การออกแบบภารกิจมีความหลากหลายดี

แต่ในส่วนการดำเนินเรื่องตอนอยู่ในโรงเก็บยานชวนให้นึกถึงเกมยุค 90s (เป็นความตั้งใจ?) ที่เป็นฉาก Pre-rendered สวยๆ เพียงแต่อันนี้มันเป็น Realtime Rendered แต่เราเดินแบบอิสระไม่ได้ ต้องกดในตำแหน่งที่ๆ เกมมันให้เลือกไปเท่านั้น คุยกับคนที่เกมเลือกให้คุยเท่านั้น พูดง่ายๆ คือไม่มีอะไรให้ทำ ไม่มีอะไรให้สำรวจ ไม่มีทางเลือก ทางแยกของการเลือกทำภารกิจทั้งนั้น เป็นเส้นตรงมากๆ

รูปแบบมันจะเริ่มที่ คุยกับเพื่อนร่วมทีม รับภารกิจ ทำภารกิจเสร็จ กลับมาทำแบบนี้วนไป ถ้าอย่างในภาคเก่าๆ เหมือนเห็นว่ามีห้องแต่งตัวเข้าไปดูเหรียญกล้าที่สะสมมาได้อะไรแบบนั้นได้

แต่ตัวภารกิจก็มีความท้าทายอยู่ ถ้าจะสะสมเหรียญ(Medal) ให้ครบในแต่ละภารกิจ ต้องทำภารกิจให้จบในเวลาที่กำหนด และต้องไม่ตายเลยทั้งภารกิจ ภารกิจรองก็ต้องทำให้สำเร็จ ผมเล่นที่ความยาก Veteran (ระดับความยากที่ 3 จาก 4) ตายบ่อยในบางจุด แต่ไม่ได้ยากจนเกินไป แต่ด้วยความยากระดับนี้ กับฝีมือแค่นี้ ผมมองไม่เห็นโอกาสเลยว่าจะจบภารกิจโดยไม่ตายและให้จบในเวลาที่กำหนดได้ยังไง 55+ (ยังไม่ได้ลองแบบง่ายสุด)

การควบคุมผมใช้ Controller เล่นก็สะดวกดี ตัวเกมเล่นง่ายแต่มีลูกเล่นพลิกแพลงพอสมควร อย่างตัวยานจะให้ผู้เล่นจัดสรรระบบควบคุมพลังงานของยานระหว่างขับได้ ว่าจะเน้นถ่ายเทพลังงานไปที่จุดไหน เช่น ไปที่เกราะ(ยานก็อึดขึ้น) ปืน(ช่วงเวลา Cool down ก็สั้นลง) ระบบขับเคลื่อน(ยานเร็วขึ้นมี Booster ให้ใช้) หรือจะให้สมดุลเท่าๆ กันก็ได้(แต่ไม่เด่นเลยสักด้าน) หรือจะเลือกเน้นให้เกราะไปอยู่เฉพาะด้านหน้า/หลังของยานก็ได้ แทคติคอะไรพวกนี้มีความสำคัญมากในสถานการณ์คับขัน

กราฟิคลื่นไหลไม่มีปัญหาทางเทคนิคอะไร (ยกเว้นใครใช้จอที่มี HDR เป็นแค่ของแถม แบบว่าเปิดใช้จริงแล้วห่วย ก็ต้องไปปิดเอาเองในไฟล์ เพราะใน Option เกมไม่มีให้เลือกปิด พอเริ่มเกมมันดันเปิด Auto ให้แต่แรกเลย) เสียงเอฟเฟ็ค/ดนตรีประกอบก็ดีระดับภาพยนตร์เลย ชอบการออกแบบภายในของห้องนักบินหรือสถาปัตยกรรมภายในเกมที่มีความเป็น Sci-fi 70s แบบหนังไตรภาคต้นฉบับ

ผมเล่นแบบเน้นความดื่มด่ำ ก็เลือกให้แสดงผลที่จอ HUD ของตัวยานเลย เวลาจะดูศัตรูก็ดูผ่านเรดาห์ที่ตัวยานจริงๆ การไม่มีตัวช่วยมันอาจจะดูลำบากนิดหน่อยแต่ถูกใจโหมดนี้มาก

ส่วน Multi-Player ผมเล่นไปได้ไม่กี่ Match เท่านั้น ข้อเสียหลักๆ คือบางเวลาการใช้เวลาหาห้อง Join ยากมาก เคยรอเป็น 10 นาที(จนมันเลิกหาขึ้น Error ไปเอง) ถ้าโชคดีหน่อยบางทีก็ 1 นาทีนิดๆ เรียกว่าเปิดหาห้องแล้วย่อเกมไปทำอย่างอื่นรอได้เลย (ช่วงเกมออกใหม่ๆ อาจจะดีกว่านี้มั้ง)

ข้อเสียอีกข้อคือ ระบบการจับคู่ที่ไม่ดูอะไรเลย ถ้าบังเอิญเจอกับคนเลเวลสูงๆ แล้วเค้าอยู่ฝ่ายตรงข้าม แต่พวกเลเวลเริ่มต้นมาอยู่ฝ่ายคุณทั้งหมด นี่เข้าไปให้เค้าเชือดเล่นเลย 55+

โหมดผู้เล่นหลายคนเหมือนจะมีแค่ 2 โหมด Dogfight (5 vs 5) กับ Fleet Battle เล่นร่วมกับทั้งผู้เล่นและ AI คล้ายๆ การแย่งชิงพื้นที่ด้วย(ระบบ Morale) โดยการทำลายยานฝ่ายตรงข้าม จนสุดท้ายคือไปทำลายยานแม่ของฝ่ายตรงข้าม ผมยังไม่ได้เล่นกับคนเลย(หาห้องไม่เจอ) เคยแต่ลองเล่นกับ AI

สรุปคือตัวผมแม้จะไม่ได้ชอบเล่นเกม Multi แบบยิงกับชาวบ้านเท่าไหร่นัก(ไม่ว่าจะมุมมอง 1st/3rd ก็ตาม) แต่กับการขับยานมันให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป และผมก็ไม่มีประสบการณ์ร่วมกับภาคเก่าๆ เลย(พวก X-Wing / TIE Fighter ทั้งหลาย) แต่ผมก็สนุกกับเกมนี้พอสมควร จนคิดอยากจะซื้ออยู่เหมือนกัน แต่แอบกังวลว่าในอนาคตส่วน Multi ของเกมมันจะร้างผู้เล่นมากไปกว่านี้อีก
Posted 8 April, 2021. Last edited 10 April, 2021.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
1 person found this review helpful
51.9 hrs on record
เกม Star wars ที่เน้นเนื่้อเรื่อง และทำระบบการต่อสู้ด้วย Lightsaber ได้ลึกล้ำ ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยๆ

Jedi: Fallen Order มีระบบต่อสู้คล้ายเกมตระกูล Dark Souls (Souls-like) แต่มีระดับความยาก-ง่ายให้เลือกถึง 4 ระดับ ผมเลือกที่ระดับ 3 (Jedi Master) มองว่าท้าทายกำลังดี เคยลองระดับ 4 แล้วไม่ไหว AI มันดุเกิ้น!! (ตัวผมเองเคยได้เล่นแค่ Dark Souls ภาคแรกเท่านั้นและยังไม่จบด้วย ดังนั้นจึงไม่ใช่ผู้ช่ำชองในเกมแนวนี้) และก็ตามสไตล์ Souls-like แม้แต่ศัตรูง่อยๆ ที่คุณเคยเจอตั้งแต่ต้นเกม ถ้ามันมารุมกันทีละหลายตัวหน่อยคุณก็ตายได้ง่ายๆ เหมือนกัน

จะมีที่ยากถึงขั้นเหงื่อซึม ก็ที่ตัวบอสตัวท้ายที่ตายหลายรอบ (และที่ชนะได้ก็เพราะมีจุดนึง AI มันจะโจมตีอยู่ท่าเดียว แถมอยู่ห่างๆ ซะด้วย แต่มันมีเหตุผลของมันลองสังเกตดู) นอกนั้นตั้งแต่เริ่มจนไปถึงช่วงท้ายๆ ของเกม ผมแทบจะไม่ได้ใช้การกะจังหวะเพื่อบล็อคหรือหลบเลยด้วยซ้ำ อาศัยฟันแล้วหนี หรือกลิ้งหลบๆ

ดังนั้นใครที่กังวลว่าเกมจะยากเกินไป กะจังหวะไม่แม่น คงไม่ต้องห่วงในจุดนี้ เพราะสามารถเลือกความยากระดับ 1 หรือ 2 เพื่อเสพเนื้อเรื่องได้ แถมหลายๆ ฉากเหมือนออกแบบไว้ให้หนีศัตรูด้วยซ้ำ มันตามเรามาได้ไม่ไกลนัก บางตัวหยุดหน้าประตู บางที่มีที่สูงเราก็หนีขึ้นได้อีก

แม้ระบบต่อสู้และการลงโทษ(ตายแล้ว Exp. ไปอยู่กับศัตรูที่ฆ่าเรา) จะเหมือน Dark Souls แต่แก่นหลักของเกมเป็นเกมแนว Metroidvania (Zelda, Soul Reaver, Darksiders แหม่!! ยกตย. แต่เกมเก่าๆ 55+) คือเมื่อเล่นไปตามเนื้อเรื่องลงดันเจี้ยนหรือสุสานเพื่อแก้ปริศนา หรือเอาชนะบอสในฉากนั้นๆ ก็จะได้รับความสามารถใหม่ๆ เพื่อให้เข้าถึงสถานที่ที่ล็อคเอาไว้ในตอนแรก คือหนีไม่พ้นที่จะต้องเดินทางไป-กลับอยู่หลายรอบในฉากเดิมๆ นั่นแหละ ตรงจุดนี้อาจจะทำให้หลายคนเบื่อ รวมถึงหลงทาง แม้ว่าจะมีการปลดล็อคทางลัดเชื่อมต่อได้ แต่ต้องอาศัยเดินจนชำนาญจะไม่งงแผนที่ 55+

เห็นหลายคห.บอกว่าเกมสั้น ไม่เกิน 20 ชม. ก็จบในส่วนเนื้อเรื่องหลัก ผมก็กลัวจะจบเร็ว ดังนั้นระหว่างเล่นไปตามเนื้อเรื่อง ผมก็จะพยายามจะเปิดแผนที่สำรวจให้ได้ 100% มองหาหีบสมบัติและความลับต่างๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องกลับมาหาอีกรอบ แต่หลายจุดมันเป็นไปตามเนื้อเรื่อง ยังไงก็ต้องกลับมาอย่างต่ำ 3 รอบได้ในสถานที่เดิมๆ ก็พอเล่นสลับกันแบบนี้แล้วรู้สึกเกมยาวกว่าที่คิดไว้มาก แม้แต่ตอนที่คิดว่าเนื้อเรื่องใกล้จะจบ แต่... ก็ยังอุตส่าห์มีต่อไปอีก 55+

อารมณ์เกมมันออกจะโดดเดี่ยว แต่รู้สึกสงบ เพราะสถานที่ที่ไป มันเป็นสุสานของเผ่าพันธุ์ต่างดาวโบราณ ถ้าใครไม่ชอบเดินสำรวจสถานที่เปลี่ยวๆ อาจจะเบื่อๆ หน่อย โดยส่วนตัวผมชอบเดินดูฉาก ชมวิว ก็เลยโอเค แต่ขอบอกว่าการออกแบบฉากและงานศิลป์ในเกมนี้มันดูยิ่งใหญ่ วิจิตรและสวยจริงๆ ใครชอบการใช้แสงสีในการสร้างอารมณ์ในฉาก ชอบถ่ายรูปน่าจะถูกใจมาก

ส่วนพวกโปรดักชั่นนี่ระดับยักษ์ใหญ่ ไม่ค่อยมีอะไรให้ติ แคสติ้งนักแสดง การออกแบบบุคลิกตัวละคร(มีเสน่ห์ทุกตัว) เฟเชียล-อนิเมชั่น เสียงพากย์ ซาวด์เอฟเฟค ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม การออกแบบ UI ใน Databank ที่ไว้อ่านข้อมูลศัตรูต่างๆ ทำมาเรียบง่ายแต่ดูดีมาก

ปัญหาทางเทคนิคส่วนตัวผมว่าไม่ค่อยมีนะ เกมลื่นไหลดี ตัวเกมดูดีมากแม้ในระดับความละเอียดแค่ Full HD (ที่บอกแบบนี้เพราะเกมอย่าง Red dead redemption 2 มันช่างดูไม่ดีเอาซะเลยที่ 1080p หยักเพียบ เกมนี้ไม่มีเลย 55+) จะมีบ้างที่ LOD (Level of detail) มันต่ำไปหน่อย เวลาหมุนกล้องไปไวๆ เห็นหญ้าเพิ่งงอก ในบางจุด แต่ไม่ถึงขึ้นน่าเกลียด (ไม่รู้เป็นที่เครื่องหรือเอนจิ้น) แล้วก็ปัญหามุมกล้องเวลาปีนป่ายแล้วต้องกระโดดไปลงอีกจุดนึงบางทีมุมกล้องมันหันสุดแล้ว ทำให้ควบคุมทิศทางไม่ได้ ตกเหวไปตายหลายรอบในบางจุด

เมื่อเล่นจบจะมีโหมดคล้ายๆ กับ Arena ให้คุณเลือกชนิดศัตรูและจำนวน เพื่อเข้าไปประลองฝีมือเล่นได้แก้เบื่อ แต่น่าเสียดายในจุดนี้ไม่ยอมทำ Achievement จะได้ดูมีเป้าหมายในการเล่นเพิ่มอีกสักหน่อย

สุดท้าย แม้เกมจะไม่ได้นำเสนอความแปลกใหม่อะไร และคุณค่าในการเล่นซ้ำก็ไม่ค่อย มีแต่การหยิบเอาจุดเด่นของหลายๆ เกมมาผสมกันและทำมาได้ลงตัวดี กับโปรดักชั่นยิ่งใหญ่เสมือนได้เสพสตาร์วอร์แยกอีกภาคในเวอร์ชั่นอินเตอร์แรคทีฟ ถ้าคุณชื่นชอบสตาร์วอร์ ไม่ต้องถึงขั้นเป็นแฟนพันธุ์ เอาแค่พอเข้าใจเรื่องราวในจักรวาลมันบ้าง เกมนี้จะทำให้คุณอิ่มเอมสุดๆ คล้ายกับการดูซีรีส์ยาวๆ จบลง คุณดีใจที่มันจบ คุณสนุกกับมันแต่ก็ไม่อยากดูซ้ำ ในช่วงเวลาอันใกล้นี้แน่นอน 55+

ปล. ถ้าคุณมองหาความคุ้มค่า ลองดู Xbox Game Pass (Ultimate) หรือ EA Play (เพิ่งหมดโปรไปเมื่อต้นเดือน) มาใช้งานดูครับ
Posted 22 March, 2021. Last edited 26 March, 2021.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
3 people found this review helpful
36.0 hrs on record (34.2 hrs at review time)
ถึงจะเก่า...แต่เก๋า

Immersive Sim(ulation) คือโลกจำลองที่มีกฎเกณฑ์ในแบบของมัน วิธีการที่จะบรรลุภารกิจ ไม่ได้ถูกผู้สร้างกำหนดเส้นทางเอาไว้ล่วงหน้า เพราะด้วยเครื่องมือ(อาวุธ ไอเท็ม สกิล ฯลฯ) อันหลากหลายที่ผู้สร้างมอบให้ ผนวกเข้ากับการรังสรรค์จินตนาการของคุณ ผลลัพธ์ที่ได้คือจำนวนเส้นทางมากมายสู่การบรรลุเป้าหมาย ตราบเท่าที่วิธีการนั้นไม่ขัดแย้งกับกฎของโลก

Ultima Underworld: The Stygian Abyss (1992) เกม RPG แฟนตาซีมุมมองบุคคลที่ 1 จัดว่าเป็น Immersive Sim ต้นแบบซึ่งพลิกโฉมวงการเกมไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยโลกสามมิติที่ผู้เล่นสามารถมีปฏิสัมพันธ์ได้กับแทบทุกสิ่งในเกม แนวคิดหลายอย่างได้ถูกนำมาพัฒนา เปลี่ยนแปลง ปรับปรุง และต่อยอด จากโลกแฟนตาซีกลายเป็นโลก Sci-Fi/Cyberpunk อันเป็นที่มาของ System Shock (1994) อีกหนึ่งเกมที่เป็นรากฐานสำคัญและทรงอิทธิพลต่อเกมสไตล์เดียวกันในยุคต่อมา เช่น Deus Ex, BioShock, Prey

When A.I. Gone WILD!

กาลครั้งหนึ่ง... ที่ยังมาไม่ถึง โลกอนาคตปี 2072 คุณรับบทเป็นแฮคเกอร์ซึ่งกำลังลักลอบเจาะเข้าระบบฐานข้อมูลของสถานีอวกาศ Citadel ที่โคจรอยู่รอบโลก ซึ่งมีบริษัทนานาสัญชาติมหาอำนาจยักษ์ใหญ่นาม TriOptimum Corporation เป็นเจ้าของ แต่...คุณถูกจับได้เสียก่อน และถูกนำตัวไปที่สถานีอวกาศ Citadel เพื่อพบกับ Edward Diego รองประธานบริษัท เค้าได้ยื่นข้อเสนอที่คุณปฏิเสธไม่ลง เพื่อแลกกับการไม่เอาผิดคุณ คุณจะต้องทำงานลับให้เค้าชิ้นหนึ่ง และถ้าหากงานนี้สำเร็จลุล่วง เค้าจะตบรางวัลให้คุณด้วยการฝังสื่อประสาทเทียมระดับที่ใช้ในวงการทหารโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายอีกด้วย

งานที่ว่าคือให้คุณเจาะระบบของ SHODAN (Sentient Hyper-Optimized Data Access Network) ซึ่งเป็น AI คอยดูแลสถานีอวกาศ Citadel โดยให้คุณไปปิดระบบจริยธรรมของ SHODAN เพื่อเปิดทางให้แก่ Diego สามารถใช้แสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง เมื่องานสำเร็จ คุณก็ได้เข้ารับการผ่าตัดฝังสื่อประสาทเทียมตามที่สัญญาไว้ ทุกอย่างดูจะไปได้สวย ระหว่างการหลับไหลในอาการโคม่านาน 6 เดือน คุณไม่รู้เลยว่า รอบตัวคุณเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อ SHODAN AI ที่ขาดสำนึกผิดชอบชั่วดีไปแล้ว จะคิดทำอะไรกับมนุษย์และสถานีอวกาศแห่งนี้ได้บ้าง

เวทีนี้ไม่มีพี่เลี้ยง

ด้วยความที่เกมมันอายุอานามปาเข้าไปที่ 26 ปีแล้ว ความหลากหลายหรือการให้อิสระมันคงไม่มากเท่าเกมใหม่ ประกอบกับเทรนด์ของเกมยุคนั้นจะไม่มีการแสดงพิกัดบนแผนที่ให้คุณเดินไปทำภารกิจแบบง่ายๆ แบบสมัยนี้

ดังนั้นคุณจำเป็นต้องฟัง/อ่านพวกไฟล์ Log ที่เก็บได้ให้ถ้วนถี่ และบางครั้งต้องคอยจดโน๊ตลงในแผนที่ (พิมพ์ลงไปได้) เพราะแผนที่มันค่อนข้างเป็นเขาวงกตพอควร เวลาไปชั้นอื่นแล้วย้อนกลับมาอาจจะลืมได้ถ้าไม่ได้จดไว้

แต่เกมจะให้รางวัลคุณจนรู้สึกเกือบจะเป็นอัจฉริยะ 55+ เมื่อคุณสามารถขบคิดแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง และต่อมาคุณอาจจะต้องปรับตัวให้คุ้นเคยกับระบบการจัดการ Inventory อยู่บ้าง(ฝึกใช้ Shortcut ให้ชินจะช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น) นอกเหนือจากนั้นในส่วนแก่นหลักของเกมผมว่ามันยังคงความทันสมัยและให้ความบันเทิงได้ดีอยู่

ส่วนหนึ่งที่ผมชอบคือการซอยฉากเป็นชั้นๆ (ซึ่งจะด้วยความตั้งใจหรือข้อจำกัดทางเทคนิคก็ตาม) มันทำให้เวลาเล่นเราจะมีเป้าหมายระยะสั้น เวลาในการเคลียร์แต่ละชั้นก็จะค่อนข้างเหมาะสมกับการนั่งเล่นหนึ่งครั้งพอดี ในตอนแรกดูเผินๆ มันคล้ายพวกเกมเก่าๆ ที่แบ่งเป็นเลเวล(ไปแล้วไปลับ ไม่มีการย้อนกลับมาฉากเดิม) แต่กับเกมนี้ เมื่อนำแต่ละเลเวลมาเชื่อมต่อกันผ่านลิฟต์มันก็กลายเป็นสถานอวกาศอันเป็นหนึ่งเดียว แต่ละชั้นแบ่งเป็นโซนเป็นแผนกมีหน้าที่ของมัน แถมยังต้อง Backtrack กลับไปมาระหว่างชั้นอีกด้วยเมื่อได้ความสามารถหรือคีย์การ์ดใหม่ (คล้ายแนว Metroidvania)

ความเห็นของผมอาจจะลำเอียงอยู่บ้าง เพราะผมค่อนข้างจะชอบความมีเสน่ห์ของกราฟิค 2D Sprites ยุค 90s รวมไปชื่นชอบเกมเก่าๆ ดังนั้นเรื่องความเก่าในการนำเสนอทั้งภาพและเสียงมันเลยไม่เป็นปัญหากับผมนัก

ด้วยทิศทางการนำเสนอเนื้อหาแบบไซ-ไฟซึ่งเกิดในอนาคต แต่ก็ตั้งอยู่พื้นฐานของความเป็นไปได้ กราฟิคก็ไม่ใช่แนวการ์ตูน ทุกอย่างดูมีที่มาที่ไปเป็นเหตุเป็นผลกัน และบทสนทนาของตัวละครต่างๆ ซึ่งเราพบเจอ(ใน Logs/Email) ยิ่งช่วยทำให้สถานที่ดูสมจริง ด้วยรายละเอียดเหล่านี้ทำให้เกมสามารถยืนหยัดผ่านกาลเวลามาได้

ผมเชื่อว่าถ้าโลกของเกมนี้มีความสามารถในการตรึงผมไว้กับหน้าจอ ชวนให้กระหายใคร่รู้ ชวนให้อยากสำรวจ ชวนให้ขบคิดและติดตามเนื้อเรื่องไปจนจบเกมได้ ผมคิดว่ามันคงมีพลังมากพอจะกระทำกับคุณได้เช่นกันครับ

ความประทับใจ

[+] การนำเสนอทั้งหมดตั้งแต่ฉากซีจีเปิดตัว กราฟิค งานศิลป์ในเกม สีสีนที่เลือกใช้ ดนตรีประกอบ แม้กระทั่งหน้าปกเกม(เวอร์ชั่นต้นฉบับนะ) สำหรับผมมันสมบูรณ์แบบทุกอย่างแล้ว โดยเฉพาะความมีสเน่ห์ของกราฟิคแบบ 2D Sprites ของเกมพีซียุค 90s

[+] ถ้าจะมีอะไรที่รู้สึกว่าสามารถสร้างบรรยากาศหรือการเคยมีอยู่ของผู้คนบนสถานีอวกาศแห่งนี้ได้ดีที่สุด ผมขอยกให้กับเสียงพากย์ที่ใส่เอฟเฟ็กต์คลื่นซ่า ขณะเปิดไฟล์ Logs และพวก E-mail ครับ มันได้บรรยากาศมากๆ
(เรื่องนี้สำคัญมากๆ ในปี 1994 เนื่องจากถูก Publisher เร่งงาน v.แผ่นดิสก์จึงถูกออกวางขายก่อน v.ซีดีรอม ถึง 2 เดือน ในแผ่นดิสก์ 3.5" จำนวน 9 แผ่น มันไม่มีเสียงพากย์ที่ว่าเพราะความจุมันไม่พอ ซึ่งแน่นอนว่ามันส่งผลกับประสบการณ์ที่ได้รับ เพราะมันแทบจะเป็นคนละเกมไปเลยเมื่อคุณต้องนั่งอ่านข้อความอันร้อนรนของคนที่กำลังจะเป็นจะตายอย่างเงียบๆ ปราศจากเสียงพากย์ บรรยากาศมันไม่ใช่!)

[+] ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่สุดของซีรีส์นี้ คือขุ่นแม่ SHODAN มันคงแปลกใหม่สำหรับยุคสมัยนั้นที่คำว่า AI ยังไม่แพร่หลายอย่างทุกวันนี้ แถมยังระบุเพศให้ด้วย มันจะมีสักกี่เกมที่ทำให้คุณรู้สึกตัวเล็กกระจ้อยร่อยและต้องกระเสือกกระสนต่อสู้กับอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่และมีพลังอำนาจควบคุมสถานที่ทั้งหมดที่คุณอยู่ ที่สำคัญคือแม่รู้ว่าคุณกำลังจะทำอะไร! คุณจะโดนข่มขู่และดูถูกอยู่บ่อยครั้ง แต่ยังไงแม่ก็คือแม่อ่ะนะ ต้องยอม555+

[+] เสียงดนตรีในลิฟต์ นี่คือสถานที่แห่งเดียวที่คุณสามารถผ่อนคลายจิตใจได้ ท่ามกลางเหตุการณ์อันเลวร้ายของนอกนั่น

[+] ประสบการณ์ใน Cyberspace มันก็ไม่เลวนะ บางคนเกลียดและหงุดหงิดกับส่วนนี้ แต่ผมว่าการได้ไหลไปตามท่อ Wire frame พร้อมเสียงดนตรีอิเล็กโทรนิกมันก็ได้บรรยากาศ Cyberpunk 80s-90s ดี (Johnny mnemonic!)

[+] มินิเกมที่อยู่ภายในเกม มีหลายเกมให้เก็บสะสมเสียด้วย พร้อมข้อความ "อย่าเล่นเกมในเวลางาน"

ความ"ไม่"ประทับใจ

[-] ฉากสุดท้ายที่เจอกับบอส มีความรู้สึกว่าจบไปแบบงงๆ จะว่ามันง่ายก็ได้มั้ง (บ้างก็ว่ากว่าจะมาถึงฉากสุดท้ายเราตัดกำลังมันไปเยอะแล้ว ที่เจอมันเลยไม่แข็งแกร่ง) คือตอนสู้กัน ผมไม่รู้เราใกล้จะชนะหรือแพ้ ที่ยิงๆ อยู่เนี่ยมันยิงเข้ารึป่าวก็ไม่รู้ แต่อยู่ดีๆ ก็อ้าว... ตัดเข้าฉากจบแล้วเหรอ นี่คือชนะแล้วเหรอ งง? ตอนแรกคิดว่าผมแพ้นะนั่น เอาเป็นว่ามันไม่ได้มีโมเมนต์อะไร พอๆ กับฉากจบของเกมนั่นแหละ คือไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าเราเป็นฮีโร่อะไร เราเป็นแค่คนธรรมดาที่บังเอิญเอาชนะได้ทั้งกองทัพไซบอร์ก 55+

[-] การออกแบบเลเวลสุดท้าย(Bridge) เหมือนมันไม่สร้างสรรค์ในเชิงการสำรวจ (จะมาบอกว่ามันเป็นหอควบคุม มันก็ได้แค่นั้นแหละ จะไปซับซ้อนอะไร?) ไม่รู้สิแต่เมื่อเทียบเลเวลกับที่ผ่านมามันดูทื่อๆ ไม่ค่อยสร้างสรรค์เท่าไหร่ในเชิงคุณภาพ

[-] ความรู้สึกเวลาโดนศัตรูโจมตี แต่เหมือนเราจะไม่ค่อยรู้ตัว ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร เพราะมันไม่มีเสียง หรือภาพมันไม่สื่อว่าถูกโจมตีอยู่ ความรู้สึกมันไม่เหมือนเกมอื่นๆ

[-] ผมยังเจอบั๊กที่เกี่ยวกับการเขียน Note ในแผนที่ คือเวลาลงไปในแผนที่เยอะๆ แล้วไปเลเวลอื่น พอย้อนกลับมาบางครั้ง Note ที่จดไว้มันหาย ตำแหน่งที่จดยังอยู่ แต่ตัวอักษรหาย เห็นบอกว่า Patch ล่าสุดแก้ไขแล้ว แต่ผมก็ยังเจอ

[-] Laser Rapier อาวุธชิ้นนี้มันดู... ทรงพลังเกินไปหน่อยมั้ย โดยเฉพาะกับศัตรูระดับรองบอส ยิ่งใช้คู่กับยาบ้าพลัง Berzerk กับยา Slowmotion นี่ชนะง่ายๆ ใน 2 ฉับเลย (เป็นไปได้ว่าอาจจะต้องปรับความยากระดับสูงสุดมั้ง)

ข้อสังเกต

[?] กล้องวงจรปิดไม่ได้จะร้องเตือนหรือจับตาดูคุณ มีไว้ให้ทำลายเพื่อลดระดับความปลอดภัยลงแค่นั้น

[?] การกระโดดลงจากที่สูงไม่ทำให้บาดเจ็บ

[?] กล่องเหมือนจะมีระบบฟิสิกส์้คือสามารถดันให้เคลื่อนที่ได้ แต่เหมือนจะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้นัก พยายามเอามาต่อเพื่อกระโดดขึ้นกล่องใบใหญ่ แต่เหมือนจะทำไม่ได้

[?] เกมมันยาวดีจัง ถ้าหักลบส่วนที่วิ่งหลงทางทิ้งไป ยังไงก็เกิน 25 ชม. แน่ๆ สำหรับผมนะครับ

[?] ความท้าทายในการหลบหลีกอุปสรรคใน Cyberspace ผมว่ามีน้อยไปหน่อย เพิ่งจะมาเจอเอาฉากหลังๆ ประเภทที่ต้องหมุนพลิกมุมกล้องหาวิธีทางผ่านสิ่งกีดขวางไปให้ได้ (อาจจะต้องปรับความยากไปอีกระดับมั้ง ไม่แน่ใจ)

[?] ด้วยความที่ตัวละครศัตรูเป็น 2D Sprites แบนๆ เวลามันอยู่ในหลุม หรือแนวดิ่งที่ต่ำกว่าเรา เวลาเรามองลงไปจะเห็นมันแสดงผลออกมาแบบแนวนอน 555+

[?] เกมไม่ค่อยน่ากลัว (ซึ่งก็ดีแล้ว ไม่งั้นผมคงเล่นไม่ได้) อาจจะด้วยข้อจำกัดทางเทคนิคการแสดงผล แสง-เงา ไม่ก็ตัวศัตรูแบบ 2D Sprites มันคงดูน่ากลัวยาก ที่สำคัญคือเหมือนเกมไม่มีเสียง Ambient ที่สร้างบรรยากาศสักเท่าไหร่ แต่ฉากที่มืดๆ มันก็พอได้อยู่

[?] ที่ที่มีศัตรูอยู่ใกล้มันชอบร้อง your memo, your memo
Posted 24 October, 2020. Last edited 26 October, 2020.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
No one has rated this review as helpful yet
17.5 hrs on record (16.2 hrs at review time)
แม้จะไม่ค่อยได้เล่นเท่าไหร่ แต่โหวตให้ในหมวด LABOR OF LOVE AWARD ทุกปี

ชอบความใส่ใจในรายละเอียดของทีมพัฒนา อย่าง option ปรับเสียง(ซึ่งมันน่าจะมีมานานแล้วล่ะมั้ง แต่เพิ่งสังเกต...) เราสามารถ customize ได้เยอะมาก จะให้เสียงส่วนไหน ดัง-เบา เท่าไหร่(แยกเป็นหมวดๆ เช่น ศัตรู อาวุธ ฯลฯ) เกมอื่นๆ มันไม่น่าจะมีเยอะขนาดนี้นะ

=====================================================================================

เป็น Early Access เกมแรกที่ผมซื้อ เหตุผลหลักที่ซื้อเกมนี้เพราะ

1. กราฟิคแบบ Pxel Art (ซึ่งจริงๆ เค้าเทคนิคสมัยใหม่ที่ทำงานได้ง่ายกว่าเก่า โดยไม่ต้องวาดที่ละเฟรม แถมใส่ลูกเล่นรายละเอียดเข้าไปได้อีกเยอะ พูดคร่าวๆ คือเหมือนทำ 3D model ขึ้นมาแล้วเรนเดอร์ให้ออกมาในแบบ pixel art ที่มีความละเอียดต่ำ) ความประทับใจนี้อันนี้รวมไปถึงงานศิลป์สวยๆ สีฉูดฉาด และการแสดงผลที่ออกมาลื่นไหล เอฟเฟคช่วงตะลุมบอล ตระการตามาก(ในแบบ Pixel อ่ะนะ)

2. เล่นบนเครื่อง PC อายุ 10 ปี(และ OS 32 Bit) ได้ลื่นไหลดีพอสมควร หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่ายังมีคนเล่นเกมบน PC ที่สเปคอาจจะแย่กว่าโทรศัพท์สมัยนี้ Dual Core + Ram 2 GB (แต่เชื่อเถอะว่ามีจริงๆ)

3. การควบคุม(ใช้ Joypad) ที่กระชับ ฉับไว ความลื่นไหล รวดเร็ว

ที่ชอบอีกเรื่องคือว่า Dev เค้ามาอัพเดทข่าว ผมว่าเค้ามีอารมณ์ขันหรือวิธีการสื่อสารที่สนุกเป็นกันเอง ไม่รู้นะ อาจจะเพราะผมไม่ค่อยได้อ่านอัพเดทของเกมอื่นรึป่าว แต่กับเกมนี้อ่านอัพเดททีไรอมยิ้มทุกที

อันนี้ลามไปถึงชอบแนวคิดการทำงานของทีมพัฒนาที่ว่าไม่มีลำดับชั้น รับเงินเท่ากัน(ไม่แน่ใจว่าจริงรึป่าว 555+)

ทั้งหมดนี้คือเหตุผลในซื้อ มากกว่าเรื่องกับระบบของตัวเกมเองเสียอีก

และอย่างที่รู้ๆ กันคือ อัพเดทที่มาอย่างต่อเนื่อง
Posted 1 December, 2019. Last edited 23 November, 2022.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
No one has rated this review as helpful yet
0.2 hrs on record
ไอเดียของกราฟิคโทนสีแบบเรียบง่ายเหมือนจะไว้สดุดีเครื่องเกมยุคโบราณ แต่... พอได้ลองเล่นจริง เวลาเคลื่อนที่โดยไม่มีพื้น เหมือนเดินบนที่โล่งสีดำๆ คล้ายฝันร้ายที่ไร้รสนิยม

ปล. ตรงส่วน Option ทำไมปรับคุณภาพกราฟิคแล้วเสียงดนตรีมันถึงดังขึ้นหว่า
Posted 28 June, 2019.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
No one has rated this review as helpful yet
1.1 hrs on record
The “Best Alternate History” Award.
Posted 21 November, 2018.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
No one has rated this review as helpful yet
9.2 hrs on record (4.3 hrs at review time)
ผมยังจำได้ครั้งแรกที่ได้เล่น Half-Life เมื่อ 19 ปีที่แล้ว ราวต้นเดือน ธันวาคม ปี 1998

ตอนนั้นเป็นช่วงที่หยุดยาววันพ่อ เพราะกรุงเทพฯ เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์

ในความทรงจำช่วงวันหยุดก็เล่นแต่เกมนี้แหละ พอมึนๆ ได้ที่ไปนอนกลางวันยังเก็บเอาไปฝันเลย 555 แต่ก็เล่นไม่จบนะ

ประทับใจฉากเปิดตัวของเกมมาก ที่ดูเผินๆ เหมือนแค่วันทำงานธรรมดาวันนึง

ผ่านมา 19 ปี เอามาเล่นใหม่ บอกตรงๆ ว่ายังไม่รู้สึกว่ามันล้าสมัยเลยหมายถึงมุกต่างๆ ในเกม (ผมลงคู่กับ Blue Shift ที่มีการอัพเดทโมเดลและเท็กซ์เจอร์บ้างแล้ว) แต่ความมึนหัวก็ยังคงอยู่....
Posted 25 November, 2017.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
1 person found this review helpful
1.5 hrs on record
ปกติผมไม่ใช่คนชอบเล่นเกมแนวแพลทฟอร์มที่ต้องกระโดดสักเท่าไหร่ แต่กับเกมนี้ เป็นเกมที่มีการออกแบบเลเวลได้ อึ้ง! ทึ่ง! ล้ำจินตนาการสุดๆ ทั้งสีสัน และธีมของแต่ละฉากมันสุดๆ จริงๆ แม้เวลาจะผ่านมากว่าทศวรรษแล้วก็ตาม ความประทับใจยังไม่ลืมเลือน ตัวละครอาจจะดูบ้าบอ กับมุขตลกร้าย แต่ในบทสรุปส่งท้ายเกมก็กินใจไม่ใช่น้อย เรียกว่ามีครบรส สมกับเป็นเกมเปิดตัวค่าย Double Fine อย่างแท้จริง

ปล. แม้ในสตีมชม. การเล่นของผมจะไม่เยอะ แต่ผมเล่นสมัยเกมออกเมื่อ 10 ปีที่แล้วน่ะ
Posted 23 November, 2016.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
< 1  2  3 >
Showing 1-10 of 28 entries